Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

ถอดองค์ประกอบ “The Substance” Set Design ที่พาเราไปเผชิญหน้า กับมาตรฐานความงามที่สังคมกำหนด

เชื่อว่าตอนนี้ หลายคนต่างจับตาดูหนังสยองขวัญ แห่งปีอย่าง “The Substance” ที่ทำให้ดาราสาวดาวค้างฟ้าอย่าง “เดมี่ มัวร์ (Demi Moore)” ได้คว้ารางวัล Golden Globe สาขานักแสดงหนังยอดเยี่ยมมาได้ ซึ่งถือเป็นรางวัลทางการแสดงตัวแรกของเธอในชีวิตการทำงาน 45 ปี !

และยิ่งเป็นที่น่าจับตากันเข้าไปใหญ่ เมื่อสื่อต่างๆ ล้วนพากันทำนายว่า The Substance นี่แหละที่จะทำให้เธอคว้ารางวัล Oscars ได้สำเร็จ ! เรียกว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงการหนังสยองขวัญในรอบหลายสิบปีกันเลยทีเดียว

The Substance” เป็นหนังสยองขวัญที่กล้าบ้าบิ่น เล่าเรื่องเกี่ยวกับ Beauty Standard ในสังคม และสะกิดใจผู้ชมอย่างไม่ปราณีด้วยองค์ประกอบอันสยดสยอง น่าสะอิดสะเอียน โดยมีการใช้ Special Effect การแต่งหน้าและอวัยวะเทียมที่สมจริงจนเหมือนจะทะลุออกมาจากจอ และแน่นอนว่าการแสดงของนักแสดงทุกคนก็ช่วยส่งเสริมให้อารมณ์ของเรื่องไปถึงจุดขีดสุดเช่นกัน

อีกส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญและโดดเด่นมากในเรื่องนี้ก็คือ “งานออกแบบฉาก หรือ Set design” นั่นเอง วันนี้ขอพาไปหาคำตอบว่าเพราะอะไร เวลาดูฉากเหล่านี้ ถึงได้ทำให้รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าสู่โลกของหนังได้ไม่แพ้องค์ประกอบอื่นๆ เลย

‘The Substance’ เกี่ยวกับอะไร ?

เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในลอสแองเจลิส โดยติดตามชีวิตของ อลิซาเบธ สปาร์เคิล (รับบทโดย เดมี่ มัวร์) อดีตดาราฮอลลีวูดที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการแสดง และปัจจุบันเธอเป็นพิธีกรรายการแอโรบิกที่ให้บรรยากาศเหมือนยุค 80s

เราได้พบกับอลิซาเบธในวันที่เธอมีอายุครบ 50 ปี ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โปรดิวเซอร์ของเธอ บอกให้เธอเก็บกระเป๋าและออกจากงาน กลายเป็นดาราตกอับโดยสมบูรณ์

หลังจากนั้นในวันเดียวกัน อลิซาเบธประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และผู้ช่วยในโรงพยาบาลได้มอบโน้ตลับให้เธอเกี่ยวกับยาในตลาดมืดที่เรียกว่า The Substance ซึ่งเป็นเซรั่มที่เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดเวอร์ชันที่อ่อนเยาว์และสมบูรณ์แบบของผู้ใช้โผล่ออกมาจากร่างกายของพวกเขา

เนื้อเรื่องเริ่มพัฒนาไปในแนวสยองขวัญเกี่ยวกับร่างกาย (Body horror) เมื่อร่างกายเวอร์ชั่นที่สวยและสาวกว่าของอลิซาเบธที่ชื่อ ซู (มาร์กาเร็ต ควอลลีย์) เริ่มก่อเรื่องและใช้งาน The Substance ในทางที่ผิด


ผู้กำกับต้องการให้ The Substance ให้ความรู้สึก Timeless

The Substance เป็นหนังที่มีสถานที่ถ่ายทำหลักแค่ไม่กี่ที่ เช่น ห้องของอลิซาเบธ เพนต์เฮาส์ขนาดใหญ่ที่ดูอ้างว้างเศร้าสร้อย, สตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ที่มีสีสันร้อนแรง รวมถึงทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตา ปูพรมลวดลายเรขาคณิตที่ทำให้รู้สึกหวั่นๆ ในใจอย่างบอกไม่ถูก, ลานจอดรถที่นำไปสู่ห้องปลอดเชื้อที่มีความคอนทราสต์กันอย่างหนัก และห้องน้ำสว่างจ้าน่าขนลุกที่ดูเหมือนห้องตรวจของแพทย์มากกว่าห้องในบ้านคนธรรมดา

สถานที่เหล่านี้ปรากฏซ้ำหลายครั้งในภาพยนตร์ และทุกครั้งที่ฉากๆ นั้นกลับมาปรากฏบนจอ ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าสถานที่เหล่านั้นมีรายละเอียดที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่ออลิซาเบธและซูมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

Coralie Fargeat ผู้เป็นผู้กำกับ อธิบายว่าเธอจงใจออกแบบฉากให้มี “ความมินิมอล” เพื่อเล่าเรื่องที่สะท้อนเป็น ”สัญลักษณ์” มากกว่าสะท้อนความเป็นจริง พร้อมเสริมว่า “การพาหนังออกจากความเป็นจริงเป็นวิธีการทำให้มันไร้กาลเวลาและเป็นสากล เหมือนกับเรื่องราวที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในวันนี้ เมื่อวาน หรือวันพรุ่งนี้ รวมถึงที่ไหนก็ได้

เหมือนเป็นการตอกย้ำประเด็นตัวตนกับ Beauty Standard ที่หนังต้องการจะสื่อ ว่าสุดท้ายก็เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน


‘ทางเดิน’ คือภาพสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของอลิซาเบธ

การออกแบบฉากใน The Substance เต็มไปด้วยการเปรียบเปรยที่น่าสนใจ ผู้กำกับเลือกที่จะใช้ภาพและการตีความของของฉากต่างๆ มาช่วยลดความจำเป็นในการใช้ Dialogue ในหนังให้น้อยลง อย่างที่ “ทางเดินสีส้ม” ในเรื่องนี้เป็นตัวแทนของมุมมองที่อลิซาเบธมีต่อ “เรื่องราวชีวิตของเธอเอง”

ในช่วงแรกของเรื่อง อลิซาเบธเดินผ่านทางเดินนี้หลังการถ่ายทำแอโรบิคเสร็จสิ้น ทางเดินนั้นเต็มไปด้วยภาพเหมือนของเธอที่แสดงถึงความสำเร็จสูงสุดในอาชีพของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาซึ่งติดอยู่บนผนัง

แต่เมื่อเธอถูกไล่ออกจากงาน ชีวิตของเธอที่ก่อนหน้านี้ถูกแขวนโชว์บนผนังทางเดินกลับหายไปทั้งหมด มันสะท้อนถึงการที่อลิซาเบธถูกลบตัวตนให้หายไปจากสังคม การเห็นทางเดินที่ไม่มีภาพของเธอแขวนอยู่อีกแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้เธอรู้สึกเจ็บปวด เพราะสำหรับอลิซาเบธแล้ว “ภาพลักษณ์” ของเธอคือตัวตนของเธอ

แทนที่จะมองหางานใหม่หรือพักผ่อนเพื่อปรับตัว เธอกลับจมอยู่ในความเจ็บปวดและเริ่มใช้ The Substance อย่างต่อเนื่อง ชีวิตของเธอค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความหลงใหลในความสำเร็จของซู โดยที่ในซีนต่อๆมา เราจะเห็นว่าทางเดินสีส้มนั้นเต็มไปด้วยภาพของซูแทนนั่นเอง


รูป Portrait ขนาดใหญ่สะท้อนถึงโศกนาฏกรรมแห่งความหลงตัวเอง

เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางว่า The Substance นั้นเหมือน The Picture of Dorian Gray (หนังสือคลาสสิคของออสการ์ ไวลด์) เวอร์ชั่นหนังสยองขวัญ Body horror ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด เพราะทั้งสองเรื่องนั้นมีแก่นเดียวกัน คือ “ความเยาว์วัยและความงามเป็นเป้าหมายสูงสุด” แต่ก็กลายเป็นกรงขังไปพร้อมกัน ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่เกิดให้เกิดความเลวร้ายตามมา

การออกแบบฉากเผยให้เห็นรูปถ่าย Portrait ของอลิซาเบธขนาดใหญ่ ซึ่งแทบจะเป็นจุดรวมสายตา (Focal point) เดียวของห้องนั่งเล่นของเธอ ไม่มีการประดับตกแต่งใดๆ ที่เธอภูมิใจไปมากกว่ารูปของตัวเธอเอง แสดงให้เห็นถึงความหมกมุ่นในจิตใจของเธอต่อความงามและภาพลักษณ์ของตัวเธอเอง

ความหลงตัวเอง… ฟังแล้วดูไม่น่าใช่เรื่องใหญ่ แต่ความพยายามที่จะรักษาความงามไม่ใช่แค่เรื่องผิวเผิน หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาการควบคุมกาลเวลา ปฏิเสธความตาย และหลีกหนีผลลัพธ์จากการกระทำของตัวเองอีกด้วย

ทั้งตัวเอกใน The Substance และ The Picture of Dorian Gray ต่างต้องเผชิญผลลัพธ์จากการหมกมุ่นในตัวเอง อลิซาเบธ สปาร์เคิล และโดเรียน เดินไปตามเส้นทางของตัวเอง และแยกตัวจากผู้อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ โศกนาฏกรรมนี้ทำให้นึกถึงโควทของไวลด์ที่ว่า “วิธีเดียวที่จะกำจัดสิ่งล่อลวงคือยอมจำนนต่อมัน” ทั้งสองเรื่องแสดงให้เห็นว่าการยอมจำนนต่อเสน่ห์ของความงามและอัตตานั้นมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างหนัก

The Picture of Dorian Gray เล่าถึงความฟุ่มเฟือยของสังคมวิกตอเรียน ในขณะที่ The Substance นั้นเล่าถึงการหมกมุ่นอยู่กับความเยาว์วัยและความสมบูรณ์แบบทางกายภาพ รวมไปถึงโลกของโซเชียลมีเดียและเทรนด์ต่างๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ตอกย้ำบทเรียนที่ไร้กาลเวลาว่า “เราไม่สามารถยึดติดกับความงามที่เป็นแค่สิ่งชั่วคราวได้


หน้าต่างอพาร์ตเมนต์สะท้อนถึงความขัดแย้งภายใน

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่น่าสนใจในการออกแบบฉากของ The Substance คือหน้าต่างบานใหญ่จากพื้นจรดเพดานในอพาร์ตเมนต์ของอลิซาเบธ ในฐานะภาพยนตร์ที่พูดถึงการต่อสู้ภายในระหว่าง inner self ของเราและสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง

รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ภายในจิตใจ” และ “กายภาพ” ห้องนั่งเล่นก็เป็นอีกฉากหนึ่งที่สื่อถึงตัวตนของอลิซาเบธได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ทางเดินสีส้มสะท้อนภาพลักษณ์ที่เธอมองเห็นตัวเอง ห้องนั่งเล่นในอพาร์ตเมนต์กลับสะท้อนถึงพฤติกรรมและการรับรู้ของอลิซาเบธในสายตาสังคม

จะสังเกตได้ว่าห้องนั่งเล่นของอลิซาเบธนั้นดูสวยหรูและประณีตราวกับโชว์รูมอยู่ตลอดเวลา และมีกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นจรดฝ้าเพดานที่เปิดเปลือยสู่โลกภายนอก และมองออกไปเห็นป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ ป้ายนี้เปรียบเสมือนเสียงของโลกภายนอกที่ตะโกนใส่ inner self ของอลิซาเบธ หรือเป็นตัวตนที่ทุกคนคาดหวังให้เธอเป็นนั่นเอง

ในช่วงแรก ห้องนั่งเล่นของเธอเนี๊ยบนิ๊งอยู่เสมอ จนกระทั่งเธอเริ่มใช้ยา The Substance หลังจากนั้นอพาร์ตเมนต์ของเธอก็เละเทะขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจิตใจที่พังทลาย และยิ่งพังมากขึ้นเมื่อป้ายบิลบอร์ดเปลี่ยนจากรูปของเธอเป็นรูปของซู

จนในที่สุดอลิซาเบธก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้จนนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาปิดประจกหน้าต่างทั้งหมด นั่นหมายถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “ภายในจิตใจ” และ “กายภาพ” ของอลิซาเบธนั้นได้ถูกแบ่งแยกออกจากกันแล้วโดยสิ้นเชิง


ฉากห้องน้ำคือการเปรียบเปรยถึงประสบการณ์ภายในจิตใจ

เมื่อหนังพาคนดูดำดิ่งไปในเนื้อเรื่องสักพัก ผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าห้องน้ำซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการดำเนินเรื่องในThe Substance

ห้องน้ำในอพาร์ตเมนต์หรูแห่งนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอลิซาเบธเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นห้องเดียวที่เธอไม่ยอมให้ผู้มาเยือนเข้ามาเฉียดใกล้ เป็นสถานที่ที่เป็น “ของเธอเองแต่เพียงผู้เดียว

ห้องน้ำนี้อีกนี่แหละที่เป็นที่ที่อลิซาเบธใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ทั้งเพื่อพยายามล้าง “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ออกจากร่างกายของเธอด้วยการอยู่ใต้ฝักบัวเป็นเวลานาน ทั้งการใช้เวลาหลายชั่วโมงในการจ้องตัวเองในกระจก รวมถึงเหตุการณ์ที่เป็นแกนหลักของเรื่องอย่างการฉีด The Substance เข้าร่างกายตัวเองแล้วกำเนิดซูขึ้นมา

ในช่วงเวลาเหล่านี้ ผู้ชมจะได้ติดตามอลิซาเบธอย่างใกล้ชิด และผลที่ตามมาคือเรารู้สึกเหมือนติดอยู่ในห้องนี้กับเธอ ซึ่งเป็นความรู้สึกอึดอัดที่คนซึ่งเคยต่อสู้กับปัญหาภาพลักษณ์ตนเองจะสามารถเข้าใจได้ดี

เพื่อเพิ่มความรู้สึกอึดอัดนี้ Fargeat ได้กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Vogue ว่าเธอออกแบบห้องน้ำให้เป็น “ Cocoon หรือ รังดักแด้ ที่เธอเผชิญหน้ากับตัวเอง เหมือนห้องทดลองที่ใช้ทดลองอะไรบางอย่าง

ผู้กำกับภาพเน้นย้ำความอึดอัดนั้นด้วยการให้ทุกอย่างในห้องน้ำนี้เป็นสีขาว กระเบื้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ถูกคั่นด้วยเส้นยาแนวสีดำบางๆ ปูเต็มทั้งพื้น ไล่ขึ้นไปหุ้มอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ผนัง และแม้กระทั่งเพดาน การใช้แสงไฟสีขาวที่แรงเกินไปจนเหมือนห้องแล็บ รวมถึงเน้นย้ำ “ความว่างเปล่าในจิตใจ” ของอลิซาเบธ

บวกกับการที่ไม่เพิ่มการตกแต่งภายในอะไรที่บ่งบอกความชอบหรือบุคลิกของเธอเลย ไม่มีป้ายฉลากของผลิตภัณฑ์ความงามใดๆ ที่บ่งบอกถึงความสามารถทางการเงิน หรือยุคสมัยที่เธออาศัยอยู่ ไม่มีแม้แต่ผ้าเช็ดตัวเลยด้วยซ้ำ หรือพูดอีกอย่างคือไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่าเธอมีตัวตนอยู่เลย

ด้วยไฟที่สว่างจ้า ความโล่งเปลือยของอินทีเรีย และความรู้สึกเย็นชาที่ได้จากวัสดุ เมื่อมองจากมุมกล้องต่างๆ กระเบื้องเหล่านี้สร้างความรู้สึกเหมือนกรงที่กักขังรอบด้าน หรือหลุมแห่งความสิ้นหวังที่ลึกเกินกว่าจะปีนออกมาได้


การออกแบบฉากที่สื่อถึงการเผชิญหน้ากับตัวเองหลากหลายรูปแบบในฉากเดียว

หลังจากที่อลิซาเบธฉีดยาครั้งแรก กล้องตัดไปยังมุมมองจากด้านบน เผยให้เห็นภาพของเธอที่ดิ้นไปมาบนพื้นกระเบื้องสีขาวล้วน กระเบื้องเหล่านี้กลายเป็นฉากหลังที่เน้นความโดดเด่นของของเหลวที่ออกมาจากร่างกายของเอลิซาเบธ

เมื่อซูเริ่ม “แตกตัว” ออกจากกระดูกสันหลังของเธอ เลือดสีแดงเข้มผสมกับสีเขียวนีออนของ The Substance กลายเป็นภาพที่น่าขนลุกบนกระเบื้องเซรามิก การออกแบบฉากที่ขาวสว่างจ้าเพื่อให้ได้ Visual shock ที่ติดตาผู้ชมนั้น เป็นอะไรที่หนัง Horror ไม่ค่อยจะทำมากนัก

ห้องน้ำแห่งนี้ยังเป็นที่ที่อลิซาเบธและซูเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน และบีบให้มีการตัดสินใจครั้งที่สำคัญและกระทบต่อชีวิตของทั้งคู่ เป็นการต่อสู้กันเองของสิ่งที่ตัวเองเป็น และสิ่งที่ตัวเองต้องการ

นอกจากการเจอกับซูแล้ว ห้องน้ำยังสะท้อนถึงสภาพจิตใจของอลิซาเบธอีกด้วย เหมือนที่ผู้กำกับอธิบายว่าเธอ “เผชิญหน้ากับตัวเอง” ตลอดทั้งเรื่อง อลิซาเบธและซูมักมองดูภาพตัวเองในกระจกกรอบสีขาวที่แขวนอยู่เหนืออ่างล้างหน้า แต่มีเพียงหนึ่งในสองคนเท่านั้นที่ชอบสิ่งที่เห็นในนั้น

เมื่อใดก็ตามที่ซูปรากฏในกระจก เธอมองตัวเองด้วยสายตาชื่นชม ลูบไล้ผิวอ่อนเยาว์ของเธอพร้อมรอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้า แต่ในทางกลับกัน อลิซาเบธหลบสายตาจากภาพสะท้อนของตัวเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เศร้าสร้อย หรือแม้แต่รังเกียจขยะแขยงตัวเอง

หนึ่งในฉากที่อาจเรียกได้ว่าสะเทือนอารมณ์ที่สุดของเรื่องอย่าง “ฉากกระจก” ที่อลิซาเบธกลับมาดูกระจกหลายครั้งในขณะที่เธอเตรียมตัวออกเดต แต่ทุกครั้งที่เธอเผชิญหน้ากับภาพตัวเอง เธอก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงกับสิ่งที่เห็น ความรู้สึกนั้นทวีความรุนแรงขึ้นจนเธอเริ่มละเลงลิปสติกจนเป็นรอยยิ้มแบบตัวละครโจ๊กเกอร์ และลงเอยด้วยการข่วนผิวตัวเองจนแดงและหยาบกร้าน ฉากจบลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบมาสคาร่า ดวงตาที่ดูสิ้นหวัง และมือที่กำผมของเธอแน่น

ในฐานะผู้ชม เมื่อเห็นตัวละครทั้งสองผ่านภาพสะท้อนในกระจกที่ถูกล้อมรอบด้วยกระเบื้องสีขาวของห้องน้ำ ซึ่งสร้างความรู้สึกเหมือนภาพที่ถูกแขวนใน “แกลเลอรี” ที่กำแพงสีซีดจางเน้นให้เห็นผลงานศิลปะที่ถูกจัดแสดง สะท้อนถึงการที่ผู้หญิงเหล่านี้ต้องกลายเป็นวัตถุสิ่งของที่ต้องถูกสังเกต วิเคราะห์และวิจารณ์ตามมาตรฐานของสังคมนั่นเอง


ไม่ว่าจะชอบ The Substance หรือไม่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกแบบฉากของหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญ สามารถถ่ายทอดสภาพจิตใจของตัวละครผ่านบรรยากาศที่หลอนและเหนือจริงได้เป็นอย่างดี

ฉากต่างๆ ไม่เพียงแต่เสริมสร้างอารมณ์ของเรื่อง แต่ยังทำให้ผู้ชมรู้สึกถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนและความกดดันทางจิตใจได้อย่างน่าทึ่ง นี่คือความสำเร็จที่ทำให้ The Substance โดดเด่นในฐานะหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่กล้าท้าทายและตั้งคำถามกับมาตรฐานความงามและความเป็นมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน


บทความโดย Tuatan Chote
source: design observer | collider | Art Departmental | pretty screen | cnc

Show CommentsClose Comments

Leave a comment

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save