1387Views

ถอดองค์ประกอบ “The Substance” Set Design ที่พาเราไปเผชิญหน้า กับมาตรฐานความงามที่สังคมกำหนด
เชื่อว่าตอนนี้ หลายคนต่างจับตาดูหนังสยองขวัญ แห่งปีอย่าง “The Substance” ที่ทำให้ดาราสาวดาวค้างฟ้าอย่าง “เดมี่ มัวร์ (Demi Moore)” ได้คว้ารางวัล Golden Globe สาขานักแสดงหนังยอดเยี่ยมมาได้ ซึ่งถือเป็นรางวัลทางการแสดงตัวแรกของเธอในชีวิตการทำงาน 45 ปี !
และยิ่งเป็นที่น่าจับตากันเข้าไปใหญ่ เมื่อสื่อต่างๆ ล้วนพากันทำนายว่า The Substance นี่แหละที่จะทำให้เธอคว้ารางวัล Oscars ได้สำเร็จ ! เรียกว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงการหนังสยองขวัญในรอบหลายสิบปีกันเลยทีเดียว

“The Substance” เป็นหนังสยองขวัญที่กล้าบ้าบิ่น เล่าเรื่องเกี่ยวกับ Beauty Standard ในสังคม และสะกิดใจผู้ชมอย่างไม่ปราณีด้วยองค์ประกอบอันสยดสยอง น่าสะอิดสะเอียน โดยมีการใช้ Special Effect การแต่งหน้าและอวัยวะเทียมที่สมจริงจนเหมือนจะทะลุออกมาจากจอ และแน่นอนว่าการแสดงของนักแสดงทุกคนก็ช่วยส่งเสริมให้อารมณ์ของเรื่องไปถึงจุดขีดสุดเช่นกัน
อีกส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญและโดดเด่นมากในเรื่องนี้ก็คือ “งานออกแบบฉาก หรือ Set design” นั่นเอง วันนี้ขอพาไปหาคำตอบว่าเพราะอะไร เวลาดูฉากเหล่านี้ ถึงได้ทำให้รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าสู่โลกของหนังได้ไม่แพ้องค์ประกอบอื่นๆ เลย
‘The Substance’ เกี่ยวกับอะไร ?

เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในลอสแองเจลิส โดยติดตามชีวิตของ อลิซาเบธ สปาร์เคิล (รับบทโดย เดมี่ มัวร์) อดีตดาราฮอลลีวูดที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการแสดง และปัจจุบันเธอเป็นพิธีกรรายการแอโรบิกที่ให้บรรยากาศเหมือนยุค 80s
เราได้พบกับอลิซาเบธในวันที่เธอมีอายุครบ 50 ปี ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โปรดิวเซอร์ของเธอ บอกให้เธอเก็บกระเป๋าและออกจากงาน กลายเป็นดาราตกอับโดยสมบูรณ์

หลังจากนั้นในวันเดียวกัน อลิซาเบธประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และผู้ช่วยในโรงพยาบาลได้มอบโน้ตลับให้เธอเกี่ยวกับยาในตลาดมืดที่เรียกว่า The Substance ซึ่งเป็นเซรั่มที่เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดเวอร์ชันที่อ่อนเยาว์และสมบูรณ์แบบของผู้ใช้โผล่ออกมาจากร่างกายของพวกเขา
เนื้อเรื่องเริ่มพัฒนาไปในแนวสยองขวัญเกี่ยวกับร่างกาย (Body horror) เมื่อร่างกายเวอร์ชั่นที่สวยและสาวกว่าของอลิซาเบธที่ชื่อ ซู (มาร์กาเร็ต ควอลลีย์) เริ่มก่อเรื่องและใช้งาน The Substance ในทางที่ผิด
ผู้กำกับต้องการให้ The Substance ให้ความรู้สึก Timeless

The Substance เป็นหนังที่มีสถานที่ถ่ายทำหลักแค่ไม่กี่ที่ เช่น ห้องของอลิซาเบธ เพนต์เฮาส์ขนาดใหญ่ที่ดูอ้างว้างเศร้าสร้อย, สตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ที่มีสีสันร้อนแรง รวมถึงทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตา ปูพรมลวดลายเรขาคณิตที่ทำให้รู้สึกหวั่นๆ ในใจอย่างบอกไม่ถูก, ลานจอดรถที่นำไปสู่ห้องปลอดเชื้อที่มีความคอนทราสต์กันอย่างหนัก และห้องน้ำสว่างจ้าน่าขนลุกที่ดูเหมือนห้องตรวจของแพทย์มากกว่าห้องในบ้านคนธรรมดา
สถานที่เหล่านี้ปรากฏซ้ำหลายครั้งในภาพยนตร์ และทุกครั้งที่ฉากๆ นั้นกลับมาปรากฏบนจอ ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าสถานที่เหล่านั้นมีรายละเอียดที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่ออลิซาเบธและซูมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

Coralie Fargeat ผู้เป็นผู้กำกับ อธิบายว่าเธอจงใจออกแบบฉากให้มี “ความมินิมอล” เพื่อเล่าเรื่องที่สะท้อนเป็น ”สัญลักษณ์” มากกว่าสะท้อนความเป็นจริง พร้อมเสริมว่า “การพาหนังออกจากความเป็นจริงเป็นวิธีการทำให้มันไร้กาลเวลาและเป็นสากล เหมือนกับเรื่องราวที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในวันนี้ เมื่อวาน หรือวันพรุ่งนี้ รวมถึงที่ไหนก็ได้
เหมือนเป็นการตอกย้ำประเด็นตัวตนกับ Beauty Standard ที่หนังต้องการจะสื่อ ว่าสุดท้ายก็เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน
‘ทางเดิน’ คือภาพสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของอลิซาเบธ

การออกแบบฉากใน The Substance เต็มไปด้วยการเปรียบเปรยที่น่าสนใจ ผู้กำกับเลือกที่จะใช้ภาพและการตีความของของฉากต่างๆ มาช่วยลดความจำเป็นในการใช้ Dialogue ในหนังให้น้อยลง อย่างที่ “ทางเดินสีส้ม” ในเรื่องนี้เป็นตัวแทนของมุมมองที่อลิซาเบธมีต่อ “เรื่องราวชีวิตของเธอเอง”
ในช่วงแรกของเรื่อง อลิซาเบธเดินผ่านทางเดินนี้หลังการถ่ายทำแอโรบิคเสร็จสิ้น ทางเดินนั้นเต็มไปด้วยภาพเหมือนของเธอที่แสดงถึงความสำเร็จสูงสุดในอาชีพของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาซึ่งติดอยู่บนผนัง

แต่เมื่อเธอถูกไล่ออกจากงาน ชีวิตของเธอที่ก่อนหน้านี้ถูกแขวนโชว์บนผนังทางเดินกลับหายไปทั้งหมด มันสะท้อนถึงการที่อลิซาเบธถูกลบตัวตนให้หายไปจากสังคม การเห็นทางเดินที่ไม่มีภาพของเธอแขวนอยู่อีกแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้เธอรู้สึกเจ็บปวด เพราะสำหรับอลิซาเบธแล้ว “ภาพลักษณ์” ของเธอคือตัวตนของเธอ
แทนที่จะมองหางานใหม่หรือพักผ่อนเพื่อปรับตัว เธอกลับจมอยู่ในความเจ็บปวดและเริ่มใช้ The Substance อย่างต่อเนื่อง ชีวิตของเธอค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความหลงใหลในความสำเร็จของซู โดยที่ในซีนต่อๆมา เราจะเห็นว่าทางเดินสีส้มนั้นเต็มไปด้วยภาพของซูแทนนั่นเอง
รูป Portrait ขนาดใหญ่สะท้อนถึงโศกนาฏกรรมแห่งความหลงตัวเอง

เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางว่า The Substance นั้นเหมือน The Picture of Dorian Gray (หนังสือคลาสสิคของออสการ์ ไวลด์) เวอร์ชั่นหนังสยองขวัญ Body horror ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด เพราะทั้งสองเรื่องนั้นมีแก่นเดียวกัน คือ “ความเยาว์วัยและความงามเป็นเป้าหมายสูงสุด” แต่ก็กลายเป็นกรงขังไปพร้อมกัน ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่เกิดให้เกิดความเลวร้ายตามมา
การออกแบบฉากเผยให้เห็นรูปถ่าย Portrait ของอลิซาเบธขนาดใหญ่ ซึ่งแทบจะเป็นจุดรวมสายตา (Focal point) เดียวของห้องนั่งเล่นของเธอ ไม่มีการประดับตกแต่งใดๆ ที่เธอภูมิใจไปมากกว่ารูปของตัวเธอเอง แสดงให้เห็นถึงความหมกมุ่นในจิตใจของเธอต่อความงามและภาพลักษณ์ของตัวเธอเอง

ความหลงตัวเอง… ฟังแล้วดูไม่น่าใช่เรื่องใหญ่ แต่ความพยายามที่จะรักษาความงามไม่ใช่แค่เรื่องผิวเผิน หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงหาการควบคุมกาลเวลา ปฏิเสธความตาย และหลีกหนีผลลัพธ์จากการกระทำของตัวเองอีกด้วย
ทั้งตัวเอกใน The Substance และ The Picture of Dorian Gray ต่างต้องเผชิญผลลัพธ์จากการหมกมุ่นในตัวเอง อลิซาเบธ สปาร์เคิล และโดเรียน เดินไปตามเส้นทางของตัวเอง และแยกตัวจากผู้อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ โศกนาฏกรรมนี้ทำให้นึกถึงโควทของไวลด์ที่ว่า “วิธีเดียวที่จะกำจัดสิ่งล่อลวงคือยอมจำนนต่อมัน” ทั้งสองเรื่องแสดงให้เห็นว่าการยอมจำนนต่อเสน่ห์ของความงามและอัตตานั้นมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างหนัก

The Picture of Dorian Gray เล่าถึงความฟุ่มเฟือยของสังคมวิกตอเรียน ในขณะที่ The Substance นั้นเล่าถึงการหมกมุ่นอยู่กับความเยาว์วัยและความสมบูรณ์แบบทางกายภาพ รวมไปถึงโลกของโซเชียลมีเดียและเทรนด์ต่างๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ตอกย้ำบทเรียนที่ไร้กาลเวลาว่า “เราไม่สามารถยึดติดกับความงามที่เป็นแค่สิ่งชั่วคราวได้”
หน้าต่างอพาร์ตเมนต์สะท้อนถึงความขัดแย้งภายใน

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่น่าสนใจในการออกแบบฉากของ The Substance คือหน้าต่างบานใหญ่จากพื้นจรดเพดานในอพาร์ตเมนต์ของอลิซาเบธ ในฐานะภาพยนตร์ที่พูดถึงการต่อสู้ภายในระหว่าง inner self ของเราและสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง
รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ภายในจิตใจ” และ “กายภาพ” ห้องนั่งเล่นก็เป็นอีกฉากหนึ่งที่สื่อถึงตัวตนของอลิซาเบธได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ทางเดินสีส้มสะท้อนภาพลักษณ์ที่เธอมองเห็นตัวเอง ห้องนั่งเล่นในอพาร์ตเมนต์กลับสะท้อนถึงพฤติกรรมและการรับรู้ของอลิซาเบธในสายตาสังคม
จะสังเกตได้ว่าห้องนั่งเล่นของอลิซาเบธนั้นดูสวยหรูและประณีตราวกับโชว์รูมอยู่ตลอดเวลา และมีกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นจรดฝ้าเพดานที่เปิดเปลือยสู่โลกภายนอก และมองออกไปเห็นป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ ป้ายนี้เปรียบเสมือนเสียงของโลกภายนอกที่ตะโกนใส่ inner self ของอลิซาเบธ หรือเป็นตัวตนที่ทุกคนคาดหวังให้เธอเป็นนั่นเอง

ในช่วงแรก ห้องนั่งเล่นของเธอเนี๊ยบนิ๊งอยู่เสมอ จนกระทั่งเธอเริ่มใช้ยา The Substance หลังจากนั้นอพาร์ตเมนต์ของเธอก็เละเทะขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจิตใจที่พังทลาย และยิ่งพังมากขึ้นเมื่อป้ายบิลบอร์ดเปลี่ยนจากรูปของเธอเป็นรูปของซู
จนในที่สุดอลิซาเบธก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้จนนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาปิดประจกหน้าต่างทั้งหมด นั่นหมายถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “ภายในจิตใจ” และ “กายภาพ” ของอลิซาเบธนั้นได้ถูกแบ่งแยกออกจากกันแล้วโดยสิ้นเชิง
ฉากห้องน้ำคือการเปรียบเปรยถึงประสบการณ์ภายในจิตใจ

เมื่อหนังพาคนดูดำดิ่งไปในเนื้อเรื่องสักพัก ผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าห้องน้ำซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการดำเนินเรื่องในThe Substance
ห้องน้ำในอพาร์ตเมนต์หรูแห่งนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอลิซาเบธเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นห้องเดียวที่เธอไม่ยอมให้ผู้มาเยือนเข้ามาเฉียดใกล้ เป็นสถานที่ที่เป็น “ของเธอเองแต่เพียงผู้เดียว”
ห้องน้ำนี้อีกนี่แหละที่เป็นที่ที่อลิซาเบธใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ทั้งเพื่อพยายามล้าง “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ออกจากร่างกายของเธอด้วยการอยู่ใต้ฝักบัวเป็นเวลานาน ทั้งการใช้เวลาหลายชั่วโมงในการจ้องตัวเองในกระจก รวมถึงเหตุการณ์ที่เป็นแกนหลักของเรื่องอย่างการฉีด The Substance เข้าร่างกายตัวเองแล้วกำเนิดซูขึ้นมา
ในช่วงเวลาเหล่านี้ ผู้ชมจะได้ติดตามอลิซาเบธอย่างใกล้ชิด และผลที่ตามมาคือเรารู้สึกเหมือนติดอยู่ในห้องนี้กับเธอ ซึ่งเป็นความรู้สึกอึดอัดที่คนซึ่งเคยต่อสู้กับปัญหาภาพลักษณ์ตนเองจะสามารถเข้าใจได้ดี

เพื่อเพิ่มความรู้สึกอึดอัดนี้ Fargeat ได้กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Vogue ว่าเธอออกแบบห้องน้ำให้เป็น “ Cocoon หรือ รังดักแด้ ที่เธอเผชิญหน้ากับตัวเอง เหมือนห้องทดลองที่ใช้ทดลองอะไรบางอย่าง”
ผู้กำกับภาพเน้นย้ำความอึดอัดนั้นด้วยการให้ทุกอย่างในห้องน้ำนี้เป็นสีขาว กระเบื้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่ถูกคั่นด้วยเส้นยาแนวสีดำบางๆ ปูเต็มทั้งพื้น ไล่ขึ้นไปหุ้มอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ผนัง และแม้กระทั่งเพดาน การใช้แสงไฟสีขาวที่แรงเกินไปจนเหมือนห้องแล็บ รวมถึงเน้นย้ำ “ความว่างเปล่าในจิตใจ” ของอลิซาเบธ
บวกกับการที่ไม่เพิ่มการตกแต่งภายในอะไรที่บ่งบอกความชอบหรือบุคลิกของเธอเลย ไม่มีป้ายฉลากของผลิตภัณฑ์ความงามใดๆ ที่บ่งบอกถึงความสามารถทางการเงิน หรือยุคสมัยที่เธออาศัยอยู่ ไม่มีแม้แต่ผ้าเช็ดตัวเลยด้วยซ้ำ หรือพูดอีกอย่างคือไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่าเธอมีตัวตนอยู่เลย
ด้วยไฟที่สว่างจ้า ความโล่งเปลือยของอินทีเรีย และความรู้สึกเย็นชาที่ได้จากวัสดุ เมื่อมองจากมุมกล้องต่างๆ กระเบื้องเหล่านี้สร้างความรู้สึกเหมือนกรงที่กักขังรอบด้าน หรือหลุมแห่งความสิ้นหวังที่ลึกเกินกว่าจะปีนออกมาได้
การออกแบบฉากที่สื่อถึงการเผชิญหน้ากับตัวเองหลากหลายรูปแบบในฉากเดียว

หลังจากที่อลิซาเบธฉีดยาครั้งแรก กล้องตัดไปยังมุมมองจากด้านบน เผยให้เห็นภาพของเธอที่ดิ้นไปมาบนพื้นกระเบื้องสีขาวล้วน กระเบื้องเหล่านี้กลายเป็นฉากหลังที่เน้นความโดดเด่นของของเหลวที่ออกมาจากร่างกายของเอลิซาเบธ
เมื่อซูเริ่ม “แตกตัว” ออกจากกระดูกสันหลังของเธอ เลือดสีแดงเข้มผสมกับสีเขียวนีออนของ The Substance กลายเป็นภาพที่น่าขนลุกบนกระเบื้องเซรามิก การออกแบบฉากที่ขาวสว่างจ้าเพื่อให้ได้ Visual shock ที่ติดตาผู้ชมนั้น เป็นอะไรที่หนัง Horror ไม่ค่อยจะทำมากนัก
ห้องน้ำแห่งนี้ยังเป็นที่ที่อลิซาเบธและซูเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน และบีบให้มีการตัดสินใจครั้งที่สำคัญและกระทบต่อชีวิตของทั้งคู่ เป็นการต่อสู้กันเองของสิ่งที่ตัวเองเป็น และสิ่งที่ตัวเองต้องการ

นอกจากการเจอกับซูแล้ว ห้องน้ำยังสะท้อนถึงสภาพจิตใจของอลิซาเบธอีกด้วย เหมือนที่ผู้กำกับอธิบายว่าเธอ “เผชิญหน้ากับตัวเอง” ตลอดทั้งเรื่อง อลิซาเบธและซูมักมองดูภาพตัวเองในกระจกกรอบสีขาวที่แขวนอยู่เหนืออ่างล้างหน้า แต่มีเพียงหนึ่งในสองคนเท่านั้นที่ชอบสิ่งที่เห็นในนั้น

เมื่อใดก็ตามที่ซูปรากฏในกระจก เธอมองตัวเองด้วยสายตาชื่นชม ลูบไล้ผิวอ่อนเยาว์ของเธอพร้อมรอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้า แต่ในทางกลับกัน อลิซาเบธหลบสายตาจากภาพสะท้อนของตัวเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เศร้าสร้อย หรือแม้แต่รังเกียจขยะแขยงตัวเอง

หนึ่งในฉากที่อาจเรียกได้ว่าสะเทือนอารมณ์ที่สุดของเรื่องอย่าง “ฉากกระจก” ที่อลิซาเบธกลับมาดูกระจกหลายครั้งในขณะที่เธอเตรียมตัวออกเดต แต่ทุกครั้งที่เธอเผชิญหน้ากับภาพตัวเอง เธอก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงกับสิ่งที่เห็น ความรู้สึกนั้นทวีความรุนแรงขึ้นจนเธอเริ่มละเลงลิปสติกจนเป็นรอยยิ้มแบบตัวละครโจ๊กเกอร์ และลงเอยด้วยการข่วนผิวตัวเองจนแดงและหยาบกร้าน ฉากจบลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบมาสคาร่า ดวงตาที่ดูสิ้นหวัง และมือที่กำผมของเธอแน่น

ในฐานะผู้ชม เมื่อเห็นตัวละครทั้งสองผ่านภาพสะท้อนในกระจกที่ถูกล้อมรอบด้วยกระเบื้องสีขาวของห้องน้ำ ซึ่งสร้างความรู้สึกเหมือนภาพที่ถูกแขวนใน “แกลเลอรี” ที่กำแพงสีซีดจางเน้นให้เห็นผลงานศิลปะที่ถูกจัดแสดง สะท้อนถึงการที่ผู้หญิงเหล่านี้ต้องกลายเป็นวัตถุสิ่งของที่ต้องถูกสังเกต วิเคราะห์และวิจารณ์ตามมาตรฐานของสังคมนั่นเอง

ไม่ว่าจะชอบ The Substance หรือไม่ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกแบบฉากของหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญ สามารถถ่ายทอดสภาพจิตใจของตัวละครผ่านบรรยากาศที่หลอนและเหนือจริงได้เป็นอย่างดี
ฉากต่างๆ ไม่เพียงแต่เสริมสร้างอารมณ์ของเรื่อง แต่ยังทำให้ผู้ชมรู้สึกถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนและความกดดันทางจิตใจได้อย่างน่าทึ่ง นี่คือความสำเร็จที่ทำให้ The Substance โดดเด่นในฐานะหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่กล้าท้าทายและตั้งคำถามกับมาตรฐานความงามและความเป็นมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน

บทความโดย Tuatan Chote
source: design observer | collider | Art Departmental | pretty screen | cnc