Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

ประวัติศาสตร์ความงามและศิลปะแห่งจักรวาล บน ‘มงกุฎ’ มิสยูนิเวิร์ส

เมื่อสิ้นเสียงประกาศ ‘มงกุฎประจำตำแหน่ง Miss Universe’ สัญลักษณ์แห่งอำนาจที่คู่ควรกับความงามระดับจักรวาลก็จะถูกครอบครองโดยผู้ชนะในแต่ละปี

มากกว่าการเป็นเครื่องประดับ มงกุฎนี้ยังเป็นสัญลักษณ์เชิงอำนาจ ความสง่างาม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงยุคสมัยตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษของการประกวด นับตั้งแต่การก่อตั้งเวทีมิสยูนิเวิร์สในปี 1952

หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่า ในประวัติศาสตร์ 70 ปีของเวทีนี้ มงกุฎได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปแล้วถึง 13 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้ง ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแนวคิดปรัชญา และวาระที่องค์กรต้องการสื่อสารสู่สาธารณะ

ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของมงกุฎมีความหลากหลายและซับซ้อน จากความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คุณค่าทางศิลปะและการออกแบบ มูลค่าเชิงพาณิชย์และการตลาด ผ่านการเปลี่ยนสปอนเซอร์หลักที่เป็นผู้ผลิตเครื่องประดับรายใหญ่ระดับโลก

ในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประกวดนางงามจักรวาล ครั้งที่ 74 ในปีนี้ เราจะพาวิเคราะห์งานสร้างสรรค์ของมงกุฎ ผ่านประวัติศาสตร์ของเวทีประกวดและกลยุทธ์ขององค์กรมิสยูนิเวิร์สไปพร้อมกัน

  1. The Romanov Imperial Nuptial Crown (1952)
  2. The Christiane Martell Crown (1953)
  3. Star of the Universe Crown (1954-1960)
  4. The Lady Rhinestone Crown (1961-1962)
  5. The Chandelier Crown – Four Decades of Classic Elegance
  6. The Sarah Coventry Crown (1963-1973)
  7. The Chandelier Crown (1974-2001)
  8. The Mikimoto Crown (2002–2007, 2017–2018)
  9. CAO Fine Jewelry Crown (2008)
  10. Peace Crown by Diamond Nexus Labs (2009-2013)
  11. The DIC Crown (2014-2016)
  12. Mouawad Power of Unity (2019-2021)
  13. Mouawad Force for Good (2022-2023)
  14. Jewelmer Lumière de l’Infini (2024-ปัจจุบัน)

The Pioneer Crowns – From Royal Regalia to Formal Identity

ในช่วง 10 ปีแรกของการประกวดมิสยูนิเวิร์ส หมุดหมายสำคัญคือการสร้างความชอบธรรมและความสง่างามให้กับเวทีที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ โดยการใช้ ‘มงกุฎ’ เป็นเครื่องมือ ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจนจากการยืมศักดิ์ศรีของสถาบันดั้งเดิมไปสู่การสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเวทีประกวด

1. The Romanov Imperial Nuptial Crown (1952)

มงกุฎแรกที่ใช้ในการประกวดนางงามจักวาลครั้งแรก ในปี 1952 คือ ‘มงกุฎแต่งงานของราชวงศ์โรมานอฟ’ ซึ่งนับเป็นมงกุฎที่มีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ นอกจากด้วยการประดับเพชรมากถึง 1,535 เม็ด และมีน้ำหนักเพชรรวมทั้งสิ้น 300 กะรัต

มงกุฎนี้เป็นมงกุฎแห่งราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียที่ล่มสลาย ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถ Alexandra Feodorovna เคยทรงในพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ในปี ค.ศ. 1894

การเลือกใช้มงกุฎที่มีที่มาทางประวัติศาสตร์และสูงค่าขนาดนี้ถือเป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาดในการสร้างความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือให้กับเวทีประกวดใหม่ สาวงามอย่าง ‘Armi Kuusela’ จากประเทศฟินแลนด์ ผู้ชนะคนแรก เป็นนางงามเพียงผู้เดียวที่ได้สวมมงกุฎแห่งราชวงศ์นี้

2. The Christiane Martell Crown (1953)

ในปีถัดมา 1953 เวทีประกวดได้เปลี่ยนไปใช้ ‘มงกุฎคริสเตียนมาร์แตล’ ซึ่งมีความแตกต่างในเชิงรูปแบบและความงามจากมงกุฎแรกอย่างสิ้นเชิง มงกุฎนี้ถูกใช้งานเพียงปีเดียว โดยมากจากชื่อ ‘Christiane Martel’ ผู้ครองมงกุฎจากฝรั่งเศส

มงกุฎนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘The Metallic Bronze Crown’ เนื่องจากทำำขึ้นจากโลหะ และไม่มีการประดับประดาด้วยคริสตัลหรือจิวเวลรีอื่นๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยแผ่นโลหะสีเงินวาว จึงทำให้เกิดการเปรียบเทียบในเชิงวิจารณ์ว่าคล้ายเครื่องแต่งกายของ Wonder Woman

การเปลี่ยนจากมงกุฎเพชรของราชวงศ์ที่หรูหรามาสู่ดีไซน์ที่เรียบง่ายเชิงโครงสร้างนี้ สะท้อนถึงความพยายามขององค์กรในการทดลองสร้างเอกลักษณ์ของตนเองในช่วงเริ่มต้น

3. Star of the Universe Crown (1954–1960)

ระยะเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 1954 ถึง 1960 เวทีได้สร้างมงกุฎที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเรียกว่า ‘Star of the Universe Crown’ มงกุฎนี้ขึ้นตัวเรือนจากทองคำและแพลทินัม ประดับด้วยไข่มุกประมาณ 1,000 เม็ด รวมถึงจี้ไข่มุกดำทรงหยดน้ำอยู่กึ่งกลาง จุดเด่นที่สุดคือรูปดาวที่อยู่ด้านบนสุดของมงกุฎ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ

มงกุฎนี้มีน้ำหนักค่อนข้างเบา ต่างจากมงกุฎก่อนหน้าที่น้ำหนักมากเกินไปและไม่สะดวกสบายต่อผู้สวมใส่ ในช่วงการใช้งานมงกุฎนี้ กองประกวดได้กำหนดกติกาใหม่ว่า ผู้ชนะไม่สามารถครอบครองมงกุฎได้ตลอดไปเหมือนกับสองปีแรกที่ผ่านมา โดยสาวงามคนแรกที่ได้ครองมงกุฎนี้ ได้แก่ ‘Miriam Stevenson’ จากสหรัฐอเมริกา

4. The Lady Rhinestone Crown (1961–1962)

มงกุฎถัดมาถูกใช้ในการประกวดเพียงสองปี และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘The Lady Rhinestone Crown’ หรือ มงกุฎฉลองครบรอบ 10 ปี ตัวเรือนทำจากทองขาว และประดับด้วย ‘เพชรเทียม (Rhinestones)’ โดยมีดาวห้าแฉกโดดเด่นอยู่ด้านบน

ผู้ครองมงกุฎในปี 1962 ได้แก่ ‘Marlene Schmidt’ จากเยอรมนี และในปีถัดมา ‘Norma Nolan’ จากอาร์เจนตินา

การเปลี่ยนผ่านในทศวรรษแรกนี้สะท้อนความพยายามในการหลุดพ้นจากการพึ่งพิงเครื่องประดับประวัติศาสตร์ และการก้าวไปสู่การสร้างแบรนด์และเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ยุคที่มั่นคงที่สุดของมงกุฎมิสยูนิเวิร์ส


The Chandelier Crown – Four Decades of Classic Elegance

5. The Sarah Coventry Crown (1963–1973)

สำหรับการประกวดนางงามจักรวาล มงกุฎที่สร้างความมั่นคงและเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามระดับโลกคือ ‘Sarah Coventry Crown’ ในฐานะของมงกุฎที่ถูกใช้งานยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของการประกวด

มงกุฎนี้ออกแบบโดย ‘Sarah Coventry’ แบรนด์ผู้ผลิตเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐอเมริกา และถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 40 ปี ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ความสำเร็จที่สำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่มั่นคงและเป็นที่จดจำของแบรนด์มิสยูนิเวิร์สทั่วโลก

ในช่วงเวลานี้ องค์กรสามารถกำหนดมาตรฐานความงามและความสง่างามแบบคลาสสิกได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างรวดเร็ว

มงกุฎนี้มีงานออกแบบที่คลาสสิกและงดงาม โดดเด่นด้วยลวดลายและสัญลักษณ์ของ ‘สตรีทถือคฑา’ อยู่บริเวณกึ่งกลาง ประกอบกับซุ้มโค้ง และลวดลายเครือเถา มงกุฎนี้ถูกเรียกว่า ‘The Queen’s Crown’ ในช่วง 10 ปีแรกของการใช้งาน

6. The Chandelier Crown (1974–2001)

ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงผู้ผลิต แต่ดีไซน์หลักยังคงได้รับการยกย่องและคงอยู่ ทำให้มงกุฎนี้ได้รับฉายาใหม่ว่า ‘The Chandelier Crown’

การเปลี่ยนนี้มีที่มาจากองค์กรได้มีการปรับปรุงมงกุฎเพื่อให้สามารถปรับขนาดได้ เพื่อให้เข้ากับขนาดศีรษะที่แตกต่างกันของผู้ชนะแต่ละคน แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการผสานความสง่างามของสัญลักษณ์เข้ากับความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายที่มงกุฎขนาดใหญ่อาจเผชิญ

สาวงามที่ได้สวมมงกุฎนี้คนแรก ได้แก่ นางงามจักรวาล ปี 1963 อย่าง ‘เอด้า มาเรีย วากัส (Iêda Maria Vargas)’ จากบราซิล สำหรับรุ่นที่ 2 อย่าง ‘อัมปาโร มูโยซ (Amparo Muñoz)’ นางงามจักรวาล ปี 1974 จากสเปน

สำหรับประเทศไทย นางงามจักรวาลทั้งสองคนแรก ได้แก่ ‘อาภัสรา หงสกุล’ นางงามจักรวาล ปี 1965 และ ‘ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก’ นางงามจักรวาล ปี 1988 ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สวมมงกุฎซาราห์ โคเวนทรี เช่นกัน


The Millennium Shift – The New Orientation

หลังจากการใช้งานมงกุฎคลาสสสิกอย่าง ‘มงกุฎซาราห์ โคเวนทรี’ มาอย่างยาวนาน องค์กรมิสยูนิเวิร์สได้เข้าสู่ยุคที่ถูกขับเคลื่อนด้วยสปอนเซอร์มากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนมงกุฎบ่อยครั้งเพื่อรองรับสัญญาทางการตลาดใหม่ ๆ

7. The Mikimoto Crown (2002–2007, 2017–2018)

เริ่มจาก ‘Mikimoto Crown’ สร้างสรรค์โดย ‘Mikimoto’ ผู้ผลิตเครื่องประดับไข่มุกชื่อดังจากญี่ปุ่น และถูกใช้งานอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2002 ถึง 2007

แรงบันดาลใจหลักของการออกแบบคือ ‘นกฟีนิกซ์ ’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ ความแข็งแกร่ง และความงามอันสูงส่ง ตัวเรือนจากไวต์โกลด์ ประดับด้วยเพชร 500 เม็ด รวมเกือบ 30 กะรัต และ ‘ไข่มุกอาโกย่า (Akoya Pearl)’ คุณภาพสูง 120 เม็ด

สาวงามคนแรกที่ได้ครองมงกุฎคือ ‘Oxana Fedorova’ นางงามจักรวาลชาวรัสเซีย ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในปี 2017 และ 2018 สวมโดยนางงามจักรวาลขวัญใจอย่าง ‘Demi-Leigh Nel-Peters’ จากแอฟริกาใต้ และ ‘Catriona Gray’ จากฟิลิปปินส์ ที่ในปีนั้นมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการประกวด

8. CAO Fine Jewelry Crown (2008)

ตัวอย่างที่ชัดเจนของการตลาดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยสปอนเซอร์อย่างรวดเร็ว ได้แก่ ‘มงกุฎกาวไฟน์จิลเวลรี่ (CAO Fine Jewelry Crown)’ สร้างโดยบริษัท CAO Fine Jewelry ซึ่งเป็นบริษัทอัญมณีในประเทศเวียดนาม

มงกุฎนี้ถูกใช้งานเพียงครั้งเดียวโดย ‘Dayana Mendoza’ จากเวเนซุเอลาในปี 2008 ทำจากทองคำขาวและทองเหลือง ประดับด้วยเพชร 30 กะรัต พร้อมด้วยเพชรสีชมพู

การเปลี่ยนมงกุฎในลักษณะนี้ แสดงให้เห็นว่ามงกุฎได้เปลี่ยนสถานะจาก ‘สัญลักษณ์ถาวร’ ไปสู่ ‘เครื่องมือการตลาด’ ที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับสัญญาผู้สนับสนุนรายใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว

9. Peace Crown by Diamond Nexus Labs (2009–2013)

‘มงกุฎสันติภาพ’ สร้างสรรค์โดย Diamond Nexus Labs ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในด้านนวัตกรรม โดยมงกุฎนี้ถูกใช้งานตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2013 โดดเด่นจากมีการใช้ ‘เพชรสังเคราะห์’ ที่ไม่ทำลายธรรมชาติเกือบ 1,400 เม็ด ที่สะท้อนถึงการปรับตัวขององค์กรให้เข้ากับ ‘วาระความยั่งยืน’

การออกแบบยังผสานประเด็นทางสังคมอย่างชัดเจน ด้วยการประดับทับทิมสีแดง เพื่อสื่อถึงการรณรงค์ป้องกันการติดเชื้อ HIV อีกด้วย สอดคล้องกับชื่อของมงกุฎ โดยมี ‘Stefanía Fernández’ เป็นสตรีคนแรกที่ได้สวมมงกุฎนี้

10. The DIC Crown (2014–2016)

ในช่วงปี 2014 ถึง 2016 เวทีประกวดได้เลือก ‘มงกุฎดีไอซี (DIC Crown)’ ได้รับได้รับแรงบันดาลใจจากตึกสูงในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งขององค์กรมิสยูนิเวิร์สในขณะนั้น ลักษณะเป็น แท่งเหลี่ยมไล่ระดับ ประดับด้วยไพลินสีน้ำเงินเข้ม โทแพซสีฟ้าสดใส และคริสตัลโบฮีเมีย

ผู้ที่ได้สวมใส่เป็นคนแรกคือ ‘Paulina Vega’ จากโคลอมเบีย และยังเป็นมงกุฎที่กลายเป็นจดจำมาก เนื่องจากเป็นมงกุฎที่อยู่บนเวทีในเหตุการณ์ประกาศผลผู้ชนะผิดพลาดในปี 2015 นั่นคือ ‘Pia Wurtzbach’ จากฟิลิปปินส์


The Next Chapter – Feminine Empowerment

11. Mouawad Power of Unity (2019–2021)

หลังจากที่มงกุฎมิกิโมโตะถูกนำกลับมาใช้ในช่วงสั้น ๆ เวทีมิสยูนิเวิร์สได้ประกาศความร่วมมือกับ ‘Mouawad’ แบรนด์จิวเวลรีระดับโลก

มงกุฎแรกคือ ‘Power of Unity’ ซึ่งถูกใช้ตั้งแต่ปี 2019 ถึง 2021 ประกอบด้วยเพชรสีขาวและเพชรสีทอง ซึ่งถูกจัดวางในรูปแบบของพรรณพฤกษาและเถาวัลย์ที่เกี่ยวพันกัน สื่อถึงสายสัมพันธ์ของชุมชนสตรี และเพชรสีเหลืองทอง (Golden Canary Diamond) ที่ประดับอยู่กึ่งกลาง น้ำหนัก 62.83 กะรัต สื่อถึงความแข็งแกร่งภายในของผู้หญิง

โดยมงกุฎนี้มีฐานการผลิตและสร้างสรรค์ในประเทศไทย นางงามผู้ครองมงกุฎคนแรก ได้แก่ ‘Zozibini Tunzi’ จากแอฟริกาใต้

12. Mouawad Force for Good (2022–2023)

การเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดและครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมงกุฎมิสยูนิเวิร์สเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนเจ้าขององค์กร ในเดือนตุลาคม 2022 นำมาซึ่งการเปิดตัวมงกุฎใหม่ อย่าง ‘Mouawad Force for Good Crown’ ซึ่งถูกใช้ในการประกวดครั้งที่ 71 เป็นต้นมา

โดดเด่นด้วยการใช้แซฟไฟร์สีน้ำเงินและเพชรสีขาว ประดับด้วยอัญมณีรวม 993 เม็ด ซึ่งสีน้ำเงินที่เข้มลึกนี้เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามที่แน่วแน่ และเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในอนาคตที่สดใส ผนวกกับลายคลื่นริ้วที่สื่อถึงแรงผลักดันในการการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ยั่งยืน

13. Jewelmer Lumière de l’Infini (2024–ปัจจุบัน)

สำหรับมงกุฎปัจจุบันของมิสยูนิเวิร์ส ได้แก่ ‘The Jewelmer Lumière de l’Infini (เจเวลเมอร์ ลูมิแยร์เดอแลงฟินี)’ ซึ่งหมายถึงแสงสว่างอันไม่รู้จบ ถูกเปิดตัวในปี 2024 โดย ‘Jewelmer’ บริษัทเครื่องประดับจากฟิลิปปินส์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน ‘ไข่มุกเซาท์ซีสีทอง (Golden South Sea Pearl)’ ถูกใช้ในมงกุฎรวม 23 เม็ด

ตัวเรือนเป็นทองคำประดับเพชร ใช้เส้นสายของเกลียวคลื่นและมหาสมุทรที่บิดโค้งและพริ้วไหว รวมถึงสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์ สะท้อนความเชื่อมโยงอันเป็นนิรันดร์ของจักรวาลและชีวิต

เราได้เห็นครั้งแรกพร้อมกับ ‘Victoria Kjær Theilvig’ จากเดนมาร์ก รวมถึงนางงามจักรวาลคนล่าสุดอย่าง ‘Fátima Bosch’ จากเม็กซิโกนั่นเอง

บทความโดย: Pradhom

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save