500Views

สำรวจเสียงจากก้นบึ้งของหัวใจผ่าน ‘เจ้าหญิงน้อย’ ของ JAMSAN ศิลปินเกาหลีใต้ ผู้แจ้งเกิดจากภาพประกอบใน ‘It’s Okay to Not Be Okay’
THE VOICE คือเสียงที่ไม่ได้เปล่งออกมา แต่สัมผัสได้อยู่ภายใน ถ่ายทอดสิ่งที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ งานศิลปะของ JAMSAN จึงกลายเป็นเหมือนการ ‘เชิญชวน’ ให้ผู้ชมแต่ละคนได้ลองมาสัมผัส เสียงของตัวเอง ผ่านภาพวาดที่เป็นเหมือนกุญแจไขความรู้สึกกลางใจเรา
นิทรรศการประกอบไปด้วยผลงานภาพวาด 2 ชุด ได้แก่ Red Chair และ Rose from the Stars จุดเด่นหลักของงานคุณ JAMSAN คือการเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครเด็กสาวขี้เหงา พาดำดิ่งสู่ช่วงเวลาในอดีต และความทรงจำอันเปล่าเปลี่ยว สำรวจความเปราะบางในจิตใจ เล่าผ่านสถานที่ที่เรื่องราวเหนือจินตนาการทะยานสู่ห้วงแห่งความฝันอันไม่รู้จบ สะท้อนความรู้สึกผ่าน ‘เสียง’ ที่สื่อความหมายอย่างแผ่วเบาราวออกมาจากรูปวาด
Art of จะพาไปพูดคุยกับศิลปินอย่างคุณ JAMSAN ผ่านมุมมอง ประสบการณ์ ความคิด และเจาะลึกเบื้องหลัง ของ นิทรรศการ ‘THE VOICE’ ให้มากขึ้น
ช่วยแนะนำตัวในฐานะศิลปินหน่อย
สวัสดีครับ ผมมาจากเกาหลีครับ ใช้ชีวิตโดยการวาดรูปมานานละครับ เคยทำงานพวก concept art งาน commercial แล้วก็ พวก fine art ด้วย เรียกได้ว่า ทำมาหลายอย่างแล้วละครับ ภายใต้ชื่อ JAMSAN (จัมซัน) เพราะ JAMSAN ก็เป็นชื่อของผมเองเหมือนกันครับ


ช่วยเล่าที่มาของชื่อนิทรรศการ ทำไมถึงตั้งว่า ‘THE VOICE
พอลองคิดดูแล้ว สิ่งที่เรียกว่าการวาดรูปเนี่ย…แม้ว่ามันขึ้นอยู่กับของมุมมองของคนแต่ละคนก็เถอะ แต่ศิลปะคือสิ่งที่มองเห็นแล้วเราเข้าใจความหมายของมันใช่ไหมล่ะครับ เพราะอย่างนั้น ผมจึงใช้เด็กผู้หญิง เป็นการเชื่อมโยงความรู้สึก ระหว่างชิ้นงาน แต่ละงานเข้าด้วยกัน ซึ่งเหมือนกับสะท้อนเสียงจากข้างในออกมาผ่านทางแววตาของเด็กสาว โดยผมจะสังเกตดูว่า ผมสัมผัสมันได้มากขึ้นไหม หลังจากรู้สึกว่ามันโอเคแล้ว เลยทำให้ได้มีโอกาสได้จัดนิทรรศการนี้ขึ้นมาครับ


มีนิยาม ‘THE VOICE’ ในแบบฉบับของคุณโดยเฉพาะไหม
‘เสียง’ เป็นสื่อสารเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรู้สึก จริงๆ ผมเป็นคนที่ลึกซึ้งมากเลยนะครับ ตอนที่กำลังวาดรูป ผมรู้สึกได้เลยว่า ช่วงเวลานั้น ผมสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีเป็นพิเศษเลย คิดว่านี้ อาจเป็นเหมือน ‘THE VOICE’ ในแบบของผมเองก็ได้ครับ
ต้องการจะสื่อสารอะไรกับผู้ชมผ่านงานนี้ นอกเหนือจากเรื่องราวของเด็กผู้หญิงอีกไหม
คือผมอยากเล่าประมาณว่า ณ ดวงดาวที่ไม่มีใครเลย ที่แห่งนั้นมันยังมีดอกกุหลาบบานอยู่ แล้วก็ ยังมีน้องกระบองเพชรที่อยู่กับดอกกุหลาบด้วยครับ ผมทำให้ทั้งคู่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นด้วย บางทีมีแขนขา บางทีมีก็ความรู้สึก อยากจะสื่อออกไปว่าความสวยงามของชีวิตบางที่มันก็เต็มไปด้วยขวากหนามด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เหมือนการเป็นตะโกนผ่านไมโครโฟน ประหนึ่ง ‘เสียง’ ที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น แทนเด็กสาวอีกที
เสริมให้นิดนึงครับ ภาพวาดเป็นสิ่งที่ถ้าจ้องนานๆ เราจะค่อยๆรับรู้ถึงอะไรบางอย่างได้ มันไม่ต่างอะไร จากการได้ยินเสียงเลยครับ ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลแค่ไหน เรายังคงเห็น รู้สึกได้ทันที เพราะงั้น ‘เสียง’ จึงเป็นเหมือนเล่าเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วที่สุด และบางครั้งในภาพวาดเราก็จะรู้สึกถึงมันได้ไวกว่าเสียงด้วยนะครับ ฮ่าฮ่า


อะไรคือเหตุผลที่เลือกถ่ายทอดความรู้สึกหม่นหมองผ่านงานศิลปะ ทั้งที่ศิลปินอื่นๆจะไม่ค่อยพูดถึงมันเลย
ในส่วนของเรื่องนั้น น่าจะเป็นลักษณะนิสัยที่เรียกว่า สไตล์การวาดภาพ ครับ แม้ว่าจะพูดถึงความสุขเหมือนกัน ศิลปินแต่ละคนซึ่งนิสัยต่างกัน ก็ทำให้แต่ละคนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งมันอาจรวมถึงระดับความซับซ้อนของอารมณ์ที่อยู่ในงานเช่นกัน
ผมมองว่าตัวศิลปินเองก็ต้องเติบโตด้วย เข้าใจว่าสไตล์ของตัวเองตอนนี้เป็นยังไง ในอนาคตผมจะวาดภาพเกี่ยวกับคนในบริบทไหนได้อีก หรือถ้าหากผมอยากใส่บางสิ่งลงไปในรูปวาดมากขึ้น มันก็ต้องฝึกฝน รวมถึงศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าจะให้วาดภาพที่ดูสดใสกว่านี้ คิดว่าก็ทำได้เหมือนกันครับ ถ้าหากตอนนี้คุณมองรูปของผมแล้วสัมผัสได้ถึงความน่าสงสาร ความเหงา สำหรับผม การได้วาดสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วมีคนเข้าใจมัน แปลว่าสิ่งนี้ทำให้ผู้คนได้เข้าใจถึงตัวตนของผมได้มากขึ้นด้วย มันประสบความสำเร็จในระดับนึงแล้วครับ

คุณมองหาแรงบันดาลใจจากไหน
แรงบันดาลใจมันอยู่ในทุกสิ่งรอบตัวเราอยู่แล้วครับ มันไม่ได้ตายตัวหรอกนะ ผมไม่ได้ใช้แรงบันดาลใจเพียงอย่างเดียว เวลาผมจะวาดรูปผมถ่ายทอดความรู้สึก ณ ตอนนั้นของผมลงไปด้วย ซึ่งมันก็สามารถมาจากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้ด้วยเช่นกัน
หากมีแรงบันดาลใจเพียงอย่างเดียว มันคงไม่พอครับ มันสร้างสรรค์งานที่ดีไม่ได้ และถ้าคุณวาดรูปบ่อยๆ มันช่วยให้จิตใจคุณดีขึ้นด้วยนะ
คุณมีมุมมองเกี่ยวกับวงการงานศิลปะในยุคที่มี AI เข้ามามีบทบาทอย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะเรื่องนี้ถือว่าใกล้ตัวมากครับ ผมก็เป็นคนที่ทำงานกราฟฟิกมา 20 ปีแล้วด้วยเหตุนี้ การจัดนิทรรศการครั้งนึงทำให้ต้องคิดมากขึ้น น่ากังวลมากขึ้นด้วย แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ นั้นคือ จงทำสิ่งที่คิดว่า มันคือความสุขของเรา พยายามทำให้งานทุกชิ้นมันมีความหมาย และเล่าเรื่องราวของตัวเองลงไปในงานไปให้ได้มากที่สุด ในมุมมองของผม
‘มนุษย์มักแสวงหาเรื่องราวของมนุษย์ด้วยกันเองอยู่แล้ว‘
มันคือสิ่งที่เราสามารถแยก AI ออกจากงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมนุษย์จริงๆได้ครับ

อนาคตมีแผนจะทำอะไรต่อไหม
ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฮ่าฮ่า แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ความรู้สึกของผมที่คิดว่าอนาคตอาจมีสิ่งใหม่ๆมากมาย ผมอาจได้เรียนรู้ เช่น หาวิธีการเล่าเรื่องแบบใหม่ เพิ่มลงไปในผลงาน บางที่อาจจะเริ่มเล่าให้งานมันสนุกขึ้นนี่แหละ
สิ่งที่อยู่ภาพวาดเอง หรือสิ่งที่กราฟิกนำเสนอออกมา เราต้องเข้าใจว่าภาพวาดจะสื่ออะไร มันอยากเล่าอะไรให้คนดูฟัง ยิ่งกับอาชีพคนที่ทำงานกราฟิก ซึ่งรวมถึงตัวผมเองด้วย ในฐานะคนทำงานมาตั้ง 20 ปี หลังลองทำหลายๆอย่างก็พบว่า เราควรใส่ใจแค่สไตล์ของตัวเอง ควรเข้าใจงานของตัวเราให้ดีที่สุด
มันช่วยให้ผมทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้นครับ นี่คือวิธีที่ผมใช้ชีวิต ต้องทำแบบนั้น ถึงจะมีตัวตนและอยู่รอดในแวดวงนี้ได้ มันคือเรื่องจริงครับ ยิ่งในยุคที่มี AI ให้กังวลอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเราก็ทำอะไรมันไม่ได้อยู่แล้ว


สำหรับใครที่ต้องการมาเดินชมนิทรรศการสุดพิเศษของคุณ JAMSAN สามารถเดินทางมาได้ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก RCB Galleria 5 ชั้น 3 นิทรรศการเปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม – 30 สิงหาคม 2025
บทความโดย
รณกร หนูจีนเส้ง