Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

DeLorean DMC-12 รถยนต์ข้ามกาลเวลา อิคารอสแห่งโลกยานยนต์

หากใครเคยดู Back to the Future ภาพยนตร์สุดไอคอนิคแห่งยุค 80 ก็คงจะคุ้นเคยกับรถสีเงิน ประตูที่กางเหมือนปีกนก ที่ได้พามาร์ตี้ แมคฟลาย เดินทางข้ามกาลเวลาอย่างแน่นอน แต่รู้หรือเปล่าว่าความสำเร็จของ DMC-12 ในฐานะส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม Pop Culture สวนทางกับผลลัพธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง

จนถึงขั้นมีคนเรียกว่านี่คือ “อิคารอสแห่งโลกยานยนต์” เพราะเป็นโปรเจกต์ที่ทะเยอทะยานและเต็มไปด้วยความฝันของ John DeLorean ที่อยากสร้างรถสปอร์ตล้ำยุคไม่เหมือนใคร แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวเพราะปัญหาด้านการผลิต การเงิน และคดีความ คล้ายกับตำนานอิคารอส ที่บินเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เกินไปจนตกลงมาอย่างรวดเร็ว สะท้อนภาพของความฝันที่พุ่งสูงเกินควบคุม

ในวันนี้ Art of จะขอเล่าเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังการออกแบบรถยนต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน และดราม่า ผลงานแห่งความล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า หนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของรถยนต์ Tesla อย่าง “DeLorean DMC-12” ผลงานการออกแบบประจำตัวอักษร D ในซีรี่ย์ Design A – Z กันเลย


รถยนต์แห่งความฝัน โปรเจ็ครวมดาวนานาชาติ

DeLorean DMC-12 ถูกออกแบบ และพัฒนาขึ้นในช่วงกลางยุค 70 โดยเป็นโปรเจ็คที่รวมดาวนานาชาติมากๆ เริ่มตั้งแต่ Giorgetto Giugiaro ดีไซน์เนอร์ชื่อดังจากอิตาลี, Colin Chapman ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ตำนานแห่งวงการรถแข่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ Lotus จากอังกฤษ, Renault และ Volvo บริษัทในฝรั่งเศส และสวีเดน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แบรนด์ DeLorean บริษัทผลิตรถยนต์หน้าใหม่จากประเทศอเมริกา

โปรเจ็คแห่งความทะเยอทยานนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ John Z. DeLorean ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรองประธานการผลิตของ General Motors ในปี 1973 เพื่อก่อตั้งบริษัทของผลิตรถยนต์ของตัวเอง และสร้างรถสปอร์ตในแบบที่ GM ไม่เคยทำ เขาเริ่มต้นมาจากความประทับใจที่มีต่อ BMW CS Coupe ที่จุดไฟให้เขาอยากที่จะสร้างรถยนต์ที่ให้ความรู้สึกแบบยุโรปแก่ผู้ขับขี่ และในขณะเดียวกันก็ต้องน่าตื่นตาตื่นใจด้วย


กำเนิด DSV-1 รถผิวสแตนเลสคันแรกที่คงทน ยั่งยืน และแปลกใหม่

ตลอดปี 1973 – 1974 แผนการของจอห์นก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นถึงแม้ว่าตัวบริษัทยังไม่ได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เขาได้ติดต่อ Giorgetto Giugiaro แห่ง Ital Design ให้ออกแบบรถต้นแบบคันแรกขึ้นโดยใช้ชื่อว่า DSV-1 (DeLorean Safety Vehicle) โดยใช้งบประมาณจากบริษัทประกัน Allstate Insurance Company ผู้ร่วมลงทุนรายใหญ่รายแรกๆ ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานบริษัทนี้ก็หมดความสนใจแล้วยกเงินก้อนนั้นให้จอห์นบริหารเองทั้งหมดได้เลย

Giorgetto ได้ออกแบบให้รถมีลักษณะเป็นทรงเหลี่ยมเหมือน “กระดาษพับ” ที่มีเส้นสายที่คมกริบ และดูล้ำสมัย ช่วยเสริมให้ไอเดียของจอห์นที่ตั้งใจอยากให้ภายนอกทั้งหมดเป็นสแตนเลสปัดลายโชว์วัสดุนั้นได้เปล่งประกายอย่างเต็มที่ และเพิ่มความว้าวเข้าไปอีกด้วยการใช้ประตูปีกนกแบบเดียวกับ Mercedes-Benz 300 SL ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้รถคนนี้มีทั้งความคงทน แปลกใหม่ และเป็นเอกลักษณ์อย่างที่สุดตามเป้าหมายของจอห์น


ความขัดแย้งภายในของเหล่าวิศวกร และ รถสปอร์ตที่ความเร็วไปไม่ถึงฝัน

เมื่อพัฒนาตัวต้นแบบจนแล้วเสร็จก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกว่าจะตั้งโรงงานผลิตที่ไหน โดยตัวเลือกแรกก็คือฐานทัพเก่าในเปอร์โตริโกพร้อมกับเงินช่วยเหลือ 60 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปตั้งฐานผลิตที่เบลฟาสต์ ในไอร์แลนด์เหนือ (ส่วนหนึ่งของประเทศอังกฤษ) พร้อมเงินลงทุนจากทางอังกฤษ 117 ล้านดอลลาร์ในปี 1978

หลังจากเริ่มต้นตั้งโรงงานที่อังกฤษจอห์นก็เซ็นสัญญากับ Lotus ซึ่งมีชื่อเสียงในการสร้างรถสปอร์ตที่แตกต่างในเวลานั้นให้พัฒนา DMC-12 เพื่อการผลิต แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้นภายในเพราะวิศวกรจาก Lotus ได้ปรับโครงสร้างต่างๆ เป็นแบบที่แทบจะเหมือนกับ Lotus Esprit ที่ตัวเองเคยทำ และทิ้งผลการพัฒนาของ Bill Collins วิศวกรคู่ใจของจอห์นที่ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ GM เกือบทั้งหมด

แต่ก็ยังมีข้อดีที่ตัวแบบที่ปรับใหม่มีความคล้ายกับรถของ Lotus และทีมงานก็มีความคุ้นเคยกับการทำแบบนี้มาแล้ว ทำให้การผลิต และการทดสอบคุณภาพการขับขี่ต่างๆ ผ่านไปได้ด้วยดี

แต่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อ DMC-12 จำเป็นจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการปล่อยไอเสียที่เป็นกฏควบคุมฉบับใหม่ของอเมริกาเพิ่ม ทำให้เครื่องยนต์ V6 ขนาด 2.8 ลิตรให้กำลังได้แค่เพียง 130 แรงม้าเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้าที่อยู่ราวๆ 170 แรงม้า


ปัญหาการผลิต และการเงินที่ส่อเค้าชัดเจนขึ้น

ถึงแม้ว่าการพัฒนายังไม่แล้วเสร็จทั้งหมดแต่ Lotus ก็ต้องส่งมอบโครงการนี้คืนให้กับ DeLorean ในเดือนธันวาคม 1979 เพื่อเริ่มต้นการผลิตที่ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งการดำเนินงานก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก เนื่องจากแรงงานในพื้นที่นั้นขาดทักษะในด้านการผลิตยานยนต์จึงจำเป็นต้องได้รับการฝึกก่อน

และในบริเวณพื้นที่ตั้งก็ไม่ใช่แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมทำให้ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้กำหนดการที่จอห์นได้สัญญากับรัฐบาลอังกฤษว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนพฤษภาคม 1980 และผลิตได้ 30,000 คันต่อปีนั้นล่าช้าเกินกว่ากำหนด

จนในวันที่ 21 มกราคม 1981 DMC – 12 คันแรกก็ได้ออกจากสายการผลิตซึ่งล่าช้าไป 8 เดือน และเกินงบไป 34 ล้านปอนด์ และว่ากันตามจริงจากปัจจัยทั้งหมดแล้วการที่เสร็จได้เร็วขนาดนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นงานเร่งอยู่ดี ทำให้รถรุ่นนี้ช่วงแรกที่ผลิตออกมามีปัญหาด้านคุณภาพซึ่งภายในเวลาไม่กี่เดือนปัญหาเรื่องนี้ก็ได้รับการแก้ไข


ผลตอบรับดี พัฒนารุ่น Turbo ชดเชยความเร็วที่เสียไป

ผลตอบรับจากคนในวงการรถยนต์เป็นไปได้ด้วยดีทั้งด้านการออกแบบ และวิศวกรรมต่างๆ แม้ว่าความสูงของรถจะสูงไปจนทำให้การยึดเกาะถนนเวลาเลี้ยวลดลง และโคลงตัวไปบ้าง แล้วหากเทียบกับรถคู่แข่งต่างๆ ในยุโรป DMC-12 ก็เป็นรถที่ขาดความละเอียดอ่อนอย่างที่สุด แต่แน่นอนว่าใครจะสนในเมื่อมันทั้งโดดเด่น และไม่เหมือนใครขนาดนี้

จอห์นไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ด้วยความแรงที่ลดลงจากที่คาดไว้ เขาจึงได้สั่งให้บริษัท Legend Industries พัฒนาเทอร์โบให้กับ DMC-12 และถึงแม้ว่าประสิทธิภาพมันอาจไม่ได้สูงเท่า Porsche 911 แต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจใกล้เคียงกับ Lotus Esprit Turbo เมื่อเทียบกันในระดับ Junior Supercar

จอห์นสั่งซื้อเทอร์โบ 5000 ชุด และมีแผนที่จะติดตั้งเทอร์โบสำหรับรุ่นที่จะปล่อยในปี 1984 แต่ก็น่าเศร้าที่รถคันนี้จะไม่มีโอกาสได้เปิดตัวแก่สาธารณชนเนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดฝันในเวลาต่อมา


เศรษฐกิจตกต่ำ และเหตุการณ์สุดอื้อฉาว เปลวไฟแห่งความฝันที่ดับลง

ยอดขายในระยะแรกของ DMC-12 เต็มไปด้วยความสดใส จนกระทั่งพายุเศรษฐกิจได้พัดกระหน่ำในสหรัฐทำให้รถที่ขายไม่ออกค้างในสต๊อกมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง DeLorean ไม่ได้มีฐานการเงินที่มั่นคงมากพอในสถานการณ์แบบนี้ได้ 

จอห์นจึงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม พยายามเร่งแผนให้รถของเขาสามารถขายในตลาดยุโรปได้ และลดเวลาการทำงานลงเหลือสามวันต่อสัปดาห์ แต่ก็ช้าเกินไปเพราะเงินของ DeLorean ได้หมดลงแล้ว

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1982 รัฐบาลอังกฤษได้ยื่นมือเข้ามาช่วย DeLorean โดยให้เงินทุนสร้างรถรุ่นที่จะขายในประเทศโดยเฉพาะเพื่อป้องกันการสูญเสียตำแหน่งงานจำนวนมาก ทีมการตลาดได้ใช้โอกาสนี้ในการเร่งทำการตลาดในยุโรปซึ่งผลตอบรับก็เป็นไปได้ด้วยดี

แต่ว่าความหวังทั้งหมดก็จบสิ้นลงเมื่อจอห์นถูก FBI บุกเข้าจับกุมในโรงแรมที่ลอสแองเจลิสพร้อมกับกระเป๋าที่เต็มไปด้วยโคเคนในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง

รัฐบาลอังกฤษไม่ลงทุนเพิ่มเติมหลังจากเหตุการณ์สุดอื้อฉาวครั้งนั้น ทำให้ในที่สุดบริษัทก็ถูกบังคับให้ปิดตัวลงหลังจากดำเนินการมาได้ไม่ได้ถึงสองปี และผลิต DMC-12 ได้ประมาณ 9,000 คัน และถึงแม้ว่าในภายหลังคณะลูกขุนจะตัดสินว่าจอห์นไม่มีความผิด และได้พ้นโทษในปี 1986 แต่มันก็สายไปแล้ว


ทะลุเวลาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม Pop Culture

การปิดตัวลงของ DeLorean ถือเป็นเรื่องน่าผิดหวังของโลกการออกแบบที่เราอาจไม่ได้เห็นรถที่มาจากบริษัทที่มีแนวคิดอันเป็นเอกลักษณ์นี้อีกแล้ว และเหมือนจะจางหายไปเงียบๆ ในประวัติศาสตร์ยานยนต์เหมือนรถคันอื่นๆ

จนกระทั่งในปี 1985 ผู้สร้าง Back to the Future ก็ได้นำรถที่เลิกผลิตไปแล้วคันนี้กลับมาสู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง และจากความสำเร็จของภาพยนตร์ชุดนี้นั่นเองที่ทำให้ DMC-12 ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ Pop Culture ในเวลาต่อมา

ส่วนเหตุผลในการเลือก DMC-12 มาเป็นเครื่องไทม์แมชชีนนั้นก็มาจากผิวสแตนเลส รูปทรง และประตูปีกนกที่ดูล้ำสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้เมื่อย้อนอดีตแล้วคนในมิติเวลานั้นเห็นเจ้าสิ่งนี้แล้วรู้สึกว่ามันคือ ยานอวกาศ หรือสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่ได้มาจากโลกของเราในเวลานั้นๆ 

นอกจากนี้มันก็ให้ความรู้สึกลึกลับนิดๆ จากการที่มันเป็นรถที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่กลับหายากเหลือเกิน (ก็มีอยู่แค่ 9,000 คันเท่านั้นเอง)

เกร็ดเพิ่มเติมนิดหน่อยก็คือ ที่จริง Ford เคยเสนอเงิน 75,000 ดอลลาร์เพื่อขอให้ใช้ Ford Mustang ในภาพยนตร์แทนแต่ก็ถูกปฏิเสธไป เพราะผู้สร้างบอกว่าด้วยพื้นฐานตัวละครจากเรื่องนี้นั้นไม่มีทางที่จะขับ Mustang แน่นอน


มุ่งหน้าสู่อนาคต ใครกันที่จะสานต่อตำนาน DMC ?

(คันบนจาก DeLorean หรือ DMC ที่มีคนซื้อต่อไป คันล่างจาก DNG จากบริษัทของลูกสาวเจ้าของผู้ก่อตั้ง)

ในปัจจุบันนี้ DMC-12 ก็ยังคงเป็นรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ และโดดเด่นไม่เหมือนใคร แล้วยังคงเป็นที่ต้องการของเหล่านักสะสม และคนรักรถทั่วโลกตลอดมา ซึ่งสภาพดีๆ มือสองยังสามารถหาซื้อได้ในราคาประมาณ 50,000 ดอลลาร์

และมีผู้ใช้บางคนได้ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ V6 แบบดั้งเดิมมาเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าเพื่อการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และนำกลับมาขับขี่บนท้องถนนจริงๆ อีกครั้ง

ส่วนทางบริษัท DeLorean หลังจากที่ปิดตัวลงก็กลับมาดำเนินกิจการอีกครั้งหลังจากถูกซื้อไปโดยวิศวกรชาวอังกฤษผู้เคยทำงานอุทิศชีวิตให้กับ DMC อย่าง Stephen Wynne ในปี 1995 โดยได้ตั้งฐานการผลิตใหม่ที่ Texas และยังคงให้บริการชิ้นส่วน และอะไหล่ต่างๆ รวมไปถึงการซ่อมบำรุงอยู่เพื่อให้ DMC-12 หนึ่งในตำนานแห่งโลกยานยนต์คันนี้ยังคงอยู่ต่อไป

และในปี 2025 นี้ DeLorean ก็มีแผนจะเปิดตัว Alpha 5 รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ซึ่งแน่นอนว่ายังคงเก็บประตูปีกนกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ และทีมออกแบบก็ไม่ใช่ใครอื่นนั่นก็คือ Ital Design บริษัทที่ออกแบบ DMC-12 นี่เอง

แต่ถ้ามันไม่มีเรื่องดราม่าก็คงไม่ใช่ DeLorean เมื่อ Kat DeLorean ลูกสาวของจอห์นผู้ก่อตั้ง DMC ได้ตั้งแบรนด์รถของตัวเองขึ้นมาโดยตั้งชื่อว่า DeLorean Next Generation (DNG) เพื่อมาชนและทวงสิ่งที่ควรจะเป็นของเธอกลับคืนมาจนเกิดเป็นข้อพิพาททางกฎหมายแล้วในตอนนี้

ทั้งสองบริษัทต่างก็อ้างสิทธิโดยชอบธรรมในการใช้ชื่อ และเครื่องหมายการค้าทั้งคู่ ซึ่งก็ต้องมาจับตารอดูกันว่าใครกันแน่ที่จะได้เป็นผู้สืบทอดตำนานปีกสีเงินนี้ต่อไป


เขียนและเรียบเรียงโดย
รวีศิลป์ อัศวกิตติประภา ,

source:

https://time.com/4180894/delorean-history
https://en.wikipedia.org/wiki/DMC_DeLorean
https://en.wikipedia.org/wiki/DeLorean_Motor_Company
https://en.wikipedia.org/wiki/DeLorean_time_machine
https://www.wired.com/story/delorean-showdown
https://www.garage-italia.com/en/hub/articles/the-history-of-car-makers-delorean-motor-company
https://www.hagerty.co.uk/articles/car-profiles/how-the-delorean-dmc-12-blazed-an-88mph-path-to-collector-status
https://en.wikipedia.org/wiki/Giorgetto_Giugiaro

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save