30Views

ตีความ 5 องค์ประกอบความตรงข้ามอย่างสุดขั้ว ! ที่ซ่อนตัวใน ‘Tempest’ ซีรีส์สุดเข้มข้นบน Disney+ Hotstar
ชื่อของ Tempest น่าจะเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ถูกพูดถึงและเป็นกระแสเป็นอย่างมากในช่วงนี้ ด้วยชื่อนักแสดง และเรื่องราวการเมืองที่เข้มข้น ซึ่งซีรีส์เกาหลีไม่เคยทำให้เราผิดหวัง
ซึ่งใครที่ดู Tempest แล้วก็น่าจะเห็นตรงกันว่าไม่ผิดหวังจริงๆ นั่นแหละ ! นอกจากบท, เนื้อเรื่อง, การแสดง ไปจนถึงเคมีนักแสดงที่รับประกันคุณภาพอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากหยิบมาพูดถึงมากๆ ก็คือเรื่องของ Art Direction

อยากชวนลองสังเกตว่าซีรีส์เรื่องนี้ใช้องค์ประกอบเชิงสัญญะและงานภาพ มาสร้างความรู้สึกสองขั้วที่ Contrast กันตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งผลลัพธ์คืออารมณ์เข้มข้นที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกทั้งหวาดระแวงและอบอุ่นใจในเวลาเดียวกัน
หากใครที่ดูแล้วรู้สึกอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวตื่นเต้น เดี๋ยวสงบนิ่ง ถ้าอยากรู้ว่าซีรีส์เค้าทำยังไง ลองตามมาอ่านกันได้เลย ! ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดู สามารถไปสตรีมได้ที่ Disney+ Hotstar นะ มีพากย์ไทยด้วย มีทั้งหมด 9 ตอน คอซีรีส์สายลับ การเมืองเข้มๆ ถูกใจแน่นอน (แต่เลิฟไลน์ก็มีนะ !)
‘Tempest’ คือซีรีส์เกาหลีฟอร์มยักษ์แนวสายลับ-การเมือง บน Disney+ Hotstar
เล่าเรื่องราวของอดีตนักการทูตสาว ‘ซอมุนจู’ ที่สามีซึ่งเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร จึงพยายามค้นหาและเปิดโปงความจริงเบื้องหลังหลังเหตุร้ายครั้งนี้
แต่ยิ่งค้นหาทำไมเรื่องยิ่งใหญ่ เมื่อเบื้องหลังมีความเกี่ยวพันกับแผนสมคบคิดข้ามชาติโยงใยไปถึงทำเนียบขาวในสหรัฐอเมริกา ความอันตรายจึงยิ่งมวีคูณด้วยภัยร้ายรอบด้าน
ท่ามกลางชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย ซอมุนจูกลับได้รับการปกป้องจากทหารรับจ้างลึกลับที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ‘แพคซานโฮ’ โดยที่ไม่รู้ว่าควรจะสงสัย หรือเชื่อใจ
เมื่อสังเกตดูจะพบว่าในซีรีส์ Tempest จะมีการเล่นกับสัญญะที่แสดงถึงความ Contrast เล่นกับองค์ประกอบที่มีความตรงข้ามอย่างสุดขั้ว ซึ่งนั่นจำทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับซีรีส์ได้ในทันที ทั้งอารมณ์ที่จมดิ่ง แล้วพลิกกลับมาตื่นเต้น ซึ่งบอกเลยว่าไม่ใช่ความบังเอิญ แต่ซีรีส์เค้าคิดมาเป็นอย่างดี
1. พายุและดาวเหนือ ชื่อเรื่องแสดงสัญญะ ของความมั่นคงท่ามกลางความโกลาหล

ชื่อภาษาอังกฤษ Tempest แปลว่า ‘พายุ’ ส่วนชื่อภาษาเกาหลี 북극성 หมายถึง ‘Polaris’ หรือ ‘ดาวเหนือ’ สะท้อนแนวคิด “เผชิญพายุด้วยใจกล้า และเดินหน้าสู่จุดหมายสูงสุด”
สองชื่อที่แตกต่างกันนี้กลับเสริมกันในเชิงสัญญะ โดย ‘พายุ’ แทนความโกลาหล ความไม่มั่นคง ทั้งจากพายุภายในจิตใจของตัวละครและแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ขณะที่ ‘ดาวเหนือ’ คือสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงทางจิตใจ และเป้าหมายที่มุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
แนวคิดนี้สะท้อนออกมาในองค์ประกอบศิลป์ของซีรีส์อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นงานภาพที่ตัดกันระหว่างความมืดและแสงสว่าง วิวทิวทัศน์ในหลายฉากเป็นสัญญะที่เปรียบเสมือนการเดินทางผ่าน ‘พายุ’ เช่น ฉากพายุฝน ฉากคลื่นลมแรงในทะเล คลื่นลมในทุ่งหญ้า และฉากความโกลาหลท่ามกลางฝูงชนที่ตัวละครต้องพบเจอ หลายครั้งไฟจากแสงแฟลชที่สาดส่องถึงนางเอก ก็ดูโหมกระหน่ำราวกลับพายุเช่นกัน

ในขณะที่หลายฉากก็สะท้อนถึงสัญญะ ‘ดาวเหนือ’ เช่นกัน ในช่วงเวลาที่ตัวละครได้พบเจอกับแสงนำทาง เป้าหมาย และความมั่งคงในจิตใจในแต่ละช่วงของเนื้อเรื่อง เช่น ในฉากที่ซอมุนจูวิ่งไปตามที่ต่างๆ เราจะเห็นได้ว่าเฟรมภาพนั้นเสริมให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและมีเป้าหมาย
นอกจากนี้ยังมีหลายฉากที่สื่อให้เห็นว่า มีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลเป็นแสงนำทางให้ซอมุนจูเช่นกัน เช่น ฉากที่เธอได้พบกับพระเอกอีกครั้งที่ป้ายรถเมล์ เหมือนเป็นดาวสองดวงที่โคจรมาเจอกัน หรือฉากที่เธอมองขึ้นไปที่แสงในโบสถ์ ก็สะท้อนถึงความหวังและความศรัทธา และในช่วงท้ายของเรื่องเธอก็ได้ใช้ดาวเหนือบนท้องฟ้านำทางจริงๆ ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากผู้ชมลองสังเกตก็จะเห็นสัญญะเหล่านี้ซ่อนอยู่ในฉากต่างๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นในการใช้แสง เฟรมภาพ หรือสถาปัตยกรรม
2. คู่สีโทนร้อน-เย็น สีคู่ตรงข้าม สะท้อนความรู้สึกสองขั้ว

ซีรีส์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แน่นอนว่าหนึ่งในเทคนิคที่เหมาะจะหยิบมาใช้มากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ ‘สี’ เพราะเป็นองค์ประกอบที่สื่อสารความรู้สึกให้กับผู้ชมได้ง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง ในซีรีส์ Tempest จึงมีการใช้สีโทนร้อน และสีโทนเย็นอย่างเข้มข้นอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่โปสเตอร์ของซีรีส์ ไปจนถึงฉากต่างๆ
ใช้สีเพื่อเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
- 🔵 สีโทนเย็น: ใช้เมื่อเป็นช่วงเวลาที่สงบ ตัวละครต้องใช้สมาธิ หรือใช้ความคิด เช่นฉากในห้องนอน หรือฉากที่แพคซานโฮอยู่ในตึกร้าง เตรียมอุปกรณ์เพื่อปกป้องซอมุนจู
- 🔴 สีโทนร้อน: ใช้เมื่อเกิดสถานการณ์อันตราย ตัวละครต้องเร่งรีบ ร้อนรน วิ่งหนีเอาตัวรอด เช่นระเบิดต่างๆ หรืออีกแง่มุมหนึ่งจะใช้เป็นตัวแทนของศาสนา เหมือนแสงจากพระเจ้าก็ได้เช่นกัน
ใช้สีเพื่อเล่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร
- 🔵 สีโทนเย็น: ใช้เพื่อแสดงความรู้สึกลึกลับ ไม่มั่นใจ เช่นความลังเลสงสัยที่ซอมุนจูมีต่อแพคซานโฮ
- 🔴 สีโทนร้อน: ใช้เมื่อเกิดความรู้สึกอบอุ่น กำลังเปิดใจให้เหมือนหัวใจที่หลอมละลาย

ใช้สีเป็น Transition ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไป
แน่นอนว่าในแต่ละฉากไม่จำเป็นต้องเลือกใช้สีโทนร้อนหรือโทนเย็นเพียงอย่างเดียว แต่ในซีรีส์ได้มีบางฉากที่เลือกใช้สีทั้ง 2 โทนเพื่อเป็น Transition ของอารมณ์ที่เปลี่ยนไป

เช่น ในฉากที่ซอมุนจูกำลังอารมณ์จมดิ่งอยู่กับตัวเองซึ่งเป็นสีโทนเย็น 🔵 เมื่อวิ่งมาเจอแพคซานโฮที่คอยปกป้องอยู่ตลอด เป็นที่พึ่งพิงที่ให้อารมณ์ความอบอุ่น 🔴 ก็จะเป็นจุดเดียวในภาพที่เป็นสีโทนร้อนซึ่งเกิดจากแสงไฟบริเวณที่รอรถประจำทางนั่นเอง
3. ท้องทะเลสื่ออารมณ์ ภายใต้ผืนน้ำที่นิ่งสงบ อาจพบคลื่นทะเลที่แปรปรวน

อีกหนึ่งในสัญญะทางธรรมชาติที่เป็นตัวแทนของความ Contrast ได้เป็นอย่างดีก็คือ ‘ท้องทะเล’ รวมไปถึงแม่น้ำ หรือผืนน้ำ ซึ่งเราจะเห็นได้ในหลากหลายฉากของซีรีส์ โดยเฉพาะฉากเปิดหรือฉากปิดของหลายๆ ตอน
การที่ซีรีส์เลือกหยิบเอาท้องทะเลมาเป็นสัญลักษณ์ เพราะสามารถเปลี่ยนสิ่งที่มีความเป็นนามธรรม เช่นเรื่องของความรู้สึก ให้กลายเป็นรูปธรรมมองเห็นได้ชัดเจน เช่น ความปั่นป่วนของจิตใจ, ความสงบนิ่งก่อนพายุจะมา ฉากท้องทะเลจึงเป็นเหมือนตัวช่วยเซ็ทอารมณ์ให้กับคนดู โดยสามารถเล่าอารมณ์ความรู้สึกได้ทั้ง 2 แง่มุมคือ
- 🔵 ทะเลที่นิ่งสงบ ลึกลับกว้างใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมความรู้สึกกังวล เพราะไม่รู้ว่าพายุจะเกิดขึ้นตอนไหน หรือภายใต้ผืนน้ำที่เรามองไม่เห็นจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่
- 🔴 ทะเลที่ปั่นป่วนแปรปรวน เมื่อคลื่นลมแรงพัดมาพร้อมทำลายทุกสิ่ง จากทะเลที่งดงามก็กลายเป็นอันตรายที่ไร้การคาดเดา เป็นธรรมชาติที่พร้อมพาเราจมดิ่งสู่ความืดมิดใต้ผืนน้ำ
ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องสัญญะเท่านั้น แต่ในซีรีส์ท้องทะเลยังมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องด้วย เป็นที่ซ่อนของเรือดำน้ำที่อาจไม่มีจริง หรือเป็นทั้งอาวุธที่ทำลายล้างสร้างสงครามได้ในทันที
4. สายลับและการแบ่งแยก ชายปริศนาจะเป็นผู้ปกป้อง หรือผู้ต้องสงสัย

อีกแกนเรื่องที่ซีรีส์เล่นกับใจของคนดูและซอมุนจูตั้งแต่ต้น คือการปรากฎตัวของสายลับผู้ลึกลับอย่างแพคซานโฮ ในหลายฉากแพคซานโฮโผล่มาในสถานการณ์คับขันเป็นเหมือนกำแพงคุ้มภัย แต่ในอีกด้านหนึ่งความลึกลับของอดีต การเชื่อมโยงกับเครือข่ายลับก็สร้างความคลุมเครือและความไม่แน่ใจ
นี่จึงเป็นการใช้ ‘ความไม่ชัดเจน’ เพื่อสร้างอารมณ์ 2 ขั้ว ระหว่างความเชื่อใจและความสงสัย กลายเป็นคำถามใหญ่ในใจผู้ชมและซอมุนจูตลอดทั้งเรื่อง

นอกจากนี้เมื่อถอยออกมามองภาพใหญ่ขึ้น ซีรีส์ยังเล่าเรื่องความเชื่อใจในประเด็นที่ใหญ่ตามไปด้วย นั่นคือเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ ชวนให้เราตั้งคำถามว่าฝ่ายไหนเป็นมิตรและฝ่ายไหนคือศัตรู
เนื้อเรื่องใช้ความขัดแย้งหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ มาตั้งคำถาม ว่าจะมองเกาหลีเหนือเป็นศัตรูคู่ตรงข้าม หรือรวมชาติเพื่อหยุดยั้งสงครามจากการแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก
5. พลังของ ‘ศาสนา’ ความศรัทธาที่เป็นได้ทั้งเรื่องการเมือง หรือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

เรื่องราวของ ‘ศาสนา’ เป็นตัวแทนของหลายสิ่งในซีรีส์เรื่องนี้ รวมถึงสะท้อนให้เห็นพลังทั้ง 2 ด้านของศาสนาทั้งในฐานะที่พึ่งทางใจ และ เครื่องมือทางการเมือง
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก ศาสนาเป็นหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เห็นได้จากหลายฉากที่ซอมุนจูมักจะมองไปที่โบสถ์ และรูปปั้นด้วยความศรัทธาและความหวัง รวมถึงยังมี ‘สร้อยไม้กางเขน’ ที่สามีผู้ล่วงลับมอบไว้ให้ ที่เป็นเสมือนเครื่องรางติดตัว
ความศรัทธาในศาสนา สามารถกลายเป็นพลังที่มอบความหวังให้คนที่สิ้นหวัง สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ ไปจนถึงสร้างพลังที่ชักจูงคนหมู่มากให้มีความคิดและเป้าหมายเดียวกัน
นั่นจึงทำให้นักการเมืองใช้พลังของศาสนา เหมือนประโยคในซีรีส์ที่ว่า “นักการเมืองอธิษฐานก็เมื่อมีคนดูอยู่เท่านั้น” แสดงให้เห็นถึงการใช้ศาสนาเป็นเพียงสิ่งที่สร้างภาพลักษณ์ มากกว่าจะเป็นความเชื่อที่แท้จริง
ไปจนถึงการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองสำหรับคนที่ประสงค์ร้าย เช่น เหตุการณ์ลอบสังหารในโบสถ์ พื้นที่แห่งศรัทธาที่ควรปลอดภัยที่สุด กลับเกิดเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุด จนซอมุนจูหวั่นไหวและตั้งคำถามต่อพระเจ้า

วัตถุทางศาสนาเองก็ถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนเชื่อมโยงกับเรื่องศรัทธาและการเมืองอยู่เสมอ เช่นพระคัมภีร์ที่ซ่อนเบาะแส หรือสร้อยคอที่ฝังด้วยเครื่องดักฟัง เมื่อสิ่งที่เราไว้ใจห้อยติดตัวไว้ใช้ยึดเหนี่ยวกลับเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายในอนาคต