Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

สำรวจภาษาดอกไม้ในหลากหลายงานศิลปะรอบโลก

ในโลกของศิลปะ ‘ดอกไม้’ มิได้เป็นเพียงเครื่องประดับหรือองค์ประกอบที่งดงามทางสายตาเท่านั้น หากแต่คือสัญลักษณ์ที่ศิลปินใช้บอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดอารมณ์ ความเชื่อ และแนวคิดอย่างลึกซึ้ง

ดอกไม้จึงเปรียบเสมือน ‘ภาษา’ ที่แฝงคุณค่าทางสุนทรียะและปรัชญา เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม ศาสนา ประวัติศาสตร์ และความเป็นมนุษย์ ผ่านรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสี รูปทรง หรือแม้แต่การผลิบานและร่วงโรยตามฤดูกาล

UOB Art Around จะพาคุณร่วมสำรวจ ‘ภาษาดอกไม้’ ในงานศิลปะจากหลากหลายวัฒนธรรม เพื่อชื่นชมความงามพร้อมสัมผัสถึงเรื่องราวและอารมณ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง อ่านถ้อยคำที่ร้อยเรียงอยู่ในทุกกลีบดอกไม้ ราวกับบทสนทนาที่ละเมียดละไมระหว่างศิลปินกับผู้ชม

__

‘ดอกคาร์เนชัน’ ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างแม่และบุตร

Madonna of the Carnation, 1478–1480, Leonardo da Vinci
แม่พระแห่งดอกคาร์เนชัน, 1478–1480, ลีโอนาร์โด ดาวินชี

ลีโอนาร์โด ดาวินชี ถือเป็นศิลปินยุคเรอเนสซองส์คนสำคัญที่ฝากผลงานอันมีชื่อเสียงไว้มากมาย ดาวินชีโดดเด่นเรื่องการวาดภาพธรรมชาติเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางภูมิประเทศ พรรณไม้ และดอกไม้ ที่ปรากฎอยู่ในผลงานเสมอ เช่น ‘โมนาลิซา’ (Mona Lisa) หรือ ‘พระแม่มารีแห่งภูผา’ (Virgin of the Rocks)

เขามีความสนใจในการสเก็ตช์กายวิภาคของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ รวมไปถึงพืชพรรณดอกไม้ งานสเก็ตช์เหล่านี้เป็นสารตั้งต้นสำคัญ ที่จะเป็นองค์ประกอบในภาพวาดของดาวินชี เราจึงสามารถพบเห็นดอกไม้หลายชนิดอยู่ในผลงานช่วงต้นของการทำงานเป็นศิลปินของเขา  อย่างภาพ ‘แม่พระแห่งดอกคาร์เนชัน’ (Madonna of the Carnation)

พระแม่มารีในอาภรณ์หรูหรา พร้อมพระกุมารนั่งอยู่บนตัก มีการสะท้อนเรื่อง ‘ความเป็นแม่’ ผ่านใบหน้าของพระแม่มารีที่มองไปยังพระกุมารอย่างอาทร เบื้องหลังคือซุ้มโค้ง และภูมิประเทศเทือกเขาสลับซับซ้อนที่ค่อยๆ เลือนหายไปกับเส้นขอบฟ้าในฉากหลัง

บริเวณกลางภาพคือ ‘ดอกคาร์เนชัน’ ที่มีสีแดงสดดึงสายตาผู้ชม สื่อถึงความรักอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างแม่พระและพระบุตร รวมถึงเลือดที่หลั่งริน เป็นการทำนายถึงพระทรมานเพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ ถือเป็นความสามารถที่เหนือไปกว่าการถ่ายทอดความงามผ่านฝีแปรง แต่คือการเล่าเรื่องผ่านภาพที่เก็บความหมายได้ครบถ้วน

‘ความเป็นแม่’ เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ปรากฎในภาพวาดของดาวินชี ผ่านภาพของแม่พระ ประกอบกับแบบแผนของงานคริสตศิลป์ในยุคเรอเนสซองส์ ที่มักสื่อสารผ่านสัญลักษณ์ในภาพวาดอย่างดอกไม้ เช่น ภาพ ‘แม่พระรับสาร’ (Annunciation) แสดงภาพทูตสวรรค์เบื้องหน้าแม่พระ ถือช่อดอกลิลลี่สีขาว อันเป็นนัยยะสื่อถึงความบริสุทธิ์ และความงามของพระนางผู้เป็นพรหมจารีย์

หรือภาพ ‘พระแม่มารีเบนัวส์’ (Benois Madonna) แสดงภาพแม่พระถือกิ่งดอกไม้สี่กลีบ ซึ่งสี่กลีบนี้แทนรูปทรงของไม้กางเขน อันเป็นตัวแทนของการไถ่บาป ถ่ายทอดสายตาของความเป็นแม่ได้อย่างอ่อนโยน มีอารมณ์ความรู้สึกที่นุ่มนวลและสมจริง รวมถึงปฏิสัมพันธ์ทางสายตาของบุคคลในภาพ

‘ดอกทานตะวัน’ แสวงหาความอบอุ่นจากมิตรภาพอันลึกซึ้ง

Sunflowers (Series), 1887–1889, Vincent van Gogh
ดอกทานตะวัน (ชุดภาพ), 1887–1889, วินเซนต์ แวน โก๊ะ

อีกหนึ่งศิลปินที่นำ ‘ดอกไม้’ มานำเสนอตัวตนได้เป็นอย่างดี คือศิลปินชาวดัชต์ วินเซนต์ แวน โก๊ะ โดยเฉพาะ ‘ดอกทานตะวัน’ ซึ่งปรากฎในภาพวาดต่างๆ จำนวนมาก ถึงขนาดที่เป็นซีรีส์ภาพ ที่สะท้อนให้เห็นถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต ไปจนถึงความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ดังคำกล่าวของแวนโก๊ะที่ว่า ‘ดอกทานตะวันเป็นของฉัน’ (The sunflower is mine) หมายถึง การที่ศิลปินเห็นว่าดอกไม้นี้เป็นสัญลักษณ์ที่ผูกพันกับตัวตนของเขา

Sunflowers (F375/376/377/452), 1887, Vincent van Gogh

ภาพดอกทานตะวันของแวนโก๊ะในชุดแรกวาดขึ้นในช่วงปี 1886–1889 ในช่วงที่ย้ายมาอาศัยกับน้องชายในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แสดงให้เห็นถึงการทดลองของแวนโก๊ะในการใช้ทีแปรงและการใช้สี อย่างความหยาบของฝีแปรง หรือสีของดอกทานตะวันที่ตัดกันกับพื้นหลัง ก่อนจะมาเป็นเอกลักษณ์แบบที่เราคุ้นเคยกัน

ภาพชุดนี้ถือเป็นภาพดอกทานตะวันล้วนชุดแรกของแวนโก๊ะ ตัวแบบถูกจัดวางให้อยู่ในลักษณะของหุ่นนิ่งในมุมต่างๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อศึกษารูปทรง สี และมิติของต้นแบบ ภาพแต่ละภาพในชุดนี้ ทำให้เห็นถึงการทดลองสี มุมมอง แสงเงา และเทคนิคการวาดที่แตกต่างกัน

Sunflowers (F453/454/456/459), 1888, Vincent van Gogh

ภาพของดอกทานตะวันนับสิบดอก ถูกจัดช่ออย่างยุ่งเหยิงอยู่ในแจกันกลม บนพื้นหลังสีเหลืองหรือฟ้า ภาพชุดนี้แวนโก๊ะวาดขณะพำนักอยู่ในสตูดิโอที่เมืองอาร์ลส์ (Arles) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เพื่อตกแต่งสำหรับต้อนรับเพื่อนศิลปินของเขาอย่าง พอล โกแก็ง (Paul Gauguin)

แวนโก๊ะกระตือรือร้นอย่างมาก ถึงกับวาดภาพ 3 ภาพในเวลาเดียวกัน ดังที่เขียนจดหมายเล่าให้กับน้องชายของเขาว่า ‘ฉันกำลังวาดภาพด้วยความเอร็ดอร่อยอย่างกับชาวเมืองมาร์แซยส์ที่กำลังกินบุยยาเบส (Bouillabaisse)’

ภาพทั้ง 4 ในชุดนี้มีขนาดใกล้เคียงกัน จุดเด่นคือการใช้สีเหลืองเฉดต่างๆ เพื่อนำเสนอระยะต่างๆ ของดอกทานตะวัน ทั้งดอกที่บานเต็มที่ และดอกที่เริ่มเหี่ยวเฉา ภาพชุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสุขของแวนโก๊ะที่ถ่ายทอดผ่านทีแปรงในฐานะศิลปิน

Sunflowers (F455/457/458), 1889, Vincent van Gogh

ภาพในชุดสุดท้ายเป็นภาพที่แวนโก๊ะวาดซ้ำกันกับชุดที่สอง แต่มีขนาดใหญ่กว่า สังเกตได้จากองค์ประกอบของภาพที่มีความคล้ายคลึงกัน ดอกทานตะวันในแต่ละช่วงเวลาสื่อถึงความงามของการแปรเปลี่ยน

ดอกทานตะวันซึ่งหันหน้าเข้าหาแสง จึงอาจเปรียบได้กับแวนโก๊ะที่แม้จะอยู่ในความทุกข์ แต่ก็ยังแสวงหาความหวัง ความอบอุ่น และความงามในชีวิต มิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างแวนโก๊ะและโกแก็ง

The Painter of Sunflowers, 1888, Paul Gauguin

ตัวโกแก็งเองก็ยังเคยวาดภาพเหมือนของแวนโก๊ะขณะวาดภาพดอกทานตะวันเอาไว้ด้วย ขณะที่ทำงานร่วมกันในสตูดิโอที่เมืองอาร์ลส์ ภาพชุดนี้จึงสะท้อน ‘ดอกไม้’ ที่นิยาม ‘ตัวตน’ ที่เป็นปัจเจกของศิลปินผ่านผลงานศิลปะ

‘ดอกป๊อบปี้’ จินตนาการและความหวัง ในการท้าทายขีดจำกัด

Unikko (Marimekko), 1964, Maija Isola
อูนิกโกะ (มารีเมกโกะ), 1964, ไมยา อีโซลา

หากจะกล่าวถึงดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของศิลปะสมัยใหม่ หนึ่งในผลงานที่เป็นภาพจำคือ ผ้าพิมพ์ลายดอกไม้ ของ ‘มารีเมกโกะ’ (Marimekko) แบรนด์สัญชาติฟินแลนด์ รูปแบบที่สดใสและเป็นมิตร กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำแบรนด์ แต่ใครจะรู้ว่าในอดีตลายดอกไม้เคยเป็นสิ่งที่ต้องห้ามของแบรนด์นี้มาก่อน

ลายพิมพ์ดอกไม้นี้ มีชื่อว่า ‘อูนิกโกะ’ (Unikko) ตามความหมายในภาษาฟินแลนด์คือ ‘ดอกป๊อบปี้’ สื่อถึงจินตนาการและความหวัง ในขณะเดียวกัน เรื่องราวและที่มาของลวดลายนี้ยังแสดงถึงพลังความกล้าหาญและการท้าทายขีดจำกัดอีกด้วย

แบรนด์มารีเมกโกะตั้งขึ้นในปี 1949 โดย ‘อาร์มี ราเตีย’ (Armi Ratia) ผู้ต้องการเปลี่ยนวงการแฟชั่นของฟินแลนด์ให้เปี่ยมไปด้วยสีสัน คืนชีวิตชีวาให้กับคนในประเทศ พร้อมคุณภาพที่เหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

เริ่มจากการพิมพ์ผ้าด้วยมือ ปลุกกระแสคนรุ่นใหม่ด้วยแพทเทิร์นลายขนาดใหญ่ สีสันที่ฉูดฉาด และความเป็นนามธรรม ให้อิสระแก่นักออกแบบเต็มที่ อย่างไรก็ดี แบรนด์มีกฎเหล็กคือ ไม่อนุญาตให้ออกแบบลายดอกไม้

ก่อนที่ ไมยา อีโซลา (Maija Isola) นักออกแบบคู่บุญของแบรนด์ จะตัดสินใจแหกกฎเหล็ก และคิดค้นลาย ‘อูนิกโกะ’ ขึ้นมา ความกล้าหาญและฉีกกรอบของไมยา ทำให้อาร์มีตอบรับในทันที จนลายนี้กลายเป็นภาพจำอันคลาสสิกของแบรนด์มาจนวันนี้

รูปแบบดั้งเดิมของ ‘อูนิกโกะ’ ใช้สีแดงมาเจนตา (Magenta Red) สำหรับกลีบดอก สีส้มสำหรับใจกลางดอก และก้านดอกสีมิดไนต์บลู (Midnight Blue) ความไม่สมมาตร หลากหลายขนาดและมุมมอง สานด้วยกันเป็นแพทเทิร์น ทำให้ลายได้รับความนิยมทันทีหลังวางขายในปี 1964

นอกจากนี้ไมยายังเป็นผู้ออกแบบลายซิกเนเจอร์อย่างลายบ่อน้ำ (Kaivo) และลายก้อนหิน (Kivet) อีกด้วย ลายอูนิกโกะนี้ จึงเป็นเหมือน ‘ภาษาดอกไม้’ ที่สื่อความจากแบรนด์ ตัวแทนความเป็นตัวของตัวเอง และความกล้าที่จะโดดเด่นแม้ในความเรียบง่าย ไปสู่ผู้ใช้งานได้อย่างงดงาม

‘ดอกไม้ในวรรณกรรม’ ความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง

Ophelia, 1851–1852, John Everett Millais
โอฟิเลีย, 1851–1852, จอห์น เอเวอร์เร็ต มิลเลส์

ก่อนหน้า ‘ดอกทานตะวัน’ ของแวนโก๊ะ ราว 30 ปี บนเกาะอังกฤษ จอห์น เอเวอร์เร็ต มิลเลส์ (John Everett Millais) ได้สร้างผลงานอันเลื่องชื่อ ที่ใช้ ‘ภาษาดอกไม้’ เป็นเครื่องมือในการสื่อสารผ่านภาพได้อย่างงดงาม นั่นคือ ‘โอฟิเลีย’ (Ophelia) ซึ่งนำเสนอตัวละครสำคัญจากบทละครแฮมเล็ต (Hamlet) ผลงานของ ‘วิลเลียม เช็กสเปียร์’ (William Shakespeare) หนึ่งในวรรณกรรมอังกฤษที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด เรื่องราวของเธอสะท้อนความเปราะบางของจิตใจมนุษย์ ความโศกเศร้า และความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง

ร่างของโอฟิเลียลอยอยู่เหนือลำธารด้วยสายตาเลื่อนลอย สายน้ำที่กำลังค่อยๆ กลืนกินร่างของเธอ อาภรณ์สีทองรายล้อมด้วยดอกไม้ต่างสี และภาพของบรรดาพืชพรรณที่ขึ้นริมน้ำ ศิลปินสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง

ศิลปินใช้สีสันที่สดใสของดอกไม้เพื่อบรรยายความรู้สึก และการตีความเรื่องราวของตัวละครผ่านมุมมองของตน ร่วมกับดอกไม้ที่ปรากฎในวรรณกรรมโดยเช็กสเปียร์ ซึ่งดอกไม้ที่ลอยอยู่เหนือน้ำในภาพ ได้แก่

‘กุหลาบ’ ตัวแทนของความรักและความงาม

‘แพนซี’ สีม่วงตัดเหลือง สื่อถึงความรักที่ไร้ค่า (Love in vain)

‘ป๊อบปี้’ สีแดงสด ตัวแทนของความตาย ลอยอยู่ข้างกอของดอก

‘เดซี่’ ตัวแทนของความไร้เดียงสา

‘ไวโอเล็ต’ ดอกสีม่วงที่ร้อยเรียงเป็นสร้อยคอของโอฟิเลีย ตัวแทนของความบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์

รวมถึงบรรดาพืชพรรณที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ ตั้งแต่ ‘บัตเตอร์คัพ’ ที่ขึ้นจากท้องน้ำ สื่อความถึงความเป็นเด็ก, ดอก ‘ฟอร์เก็ต-มี-น็อต’ สีน้ำเงิน อันเป็นตัวแทนของความทรงจำ, ช่อดอก ‘ลูสไตรฟ์’ สีม่วง ทรงกรวยสูง ตัวแทนของโศกนาฏกรรม, ดอก ‘เมโดว์สวีท’ ที่แทรกตัวอยู่ในกอไม้ สื่อถึงความสูญเปล่า นับเป็นการเล่าเรื่องผ่านภาษาดอกไม้ตามแบบแผนของยุควิคตอเรียนได้อย่างสวยงามครบความ

มิลเลส์เอง ให้ความสำคัญกับธรรมชาติในภาพวาดเป็นอย่างมาก ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญในงานของกลุ่ม ‘พรี-ราฟาเอลไลต์’ (Pre-Raphaelite) ที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียด ต้นไม้และดอกไม้ที่ไม่ได้เป็นแค่พื้นหลังของภาพ แต่เป็นส่วนสำคัญในการเล่าเรื่องและนำเสนอความจริงทางสายตา

ศิลปินใช้เวลาถึงกว่าสิบเดือนเพื่อเก็บรายละเอียดริมแม่น้ำฮ็อกสมิลล์ (Hogsmill) ที่เมืองเซอร์รีย์ (Surrey) จากสถานที่จริง นำเสนอพืชริมน้ำ วัชพืช และดอกไม้ต่างๆ แสดงทั้งความสมบูรณ์และเหี่ยวเฉาของพืชพรรณตามความเป็นจริง ผนวกกับการใช้สีและแสงเงา ภาพนี้จึงเป็นตัวอย่างการสื่อสาร ‘ภาษาดอกไม้’ ที่เล่าความหมายผ่านวรรณกรรมได้อย่างงดงาม

‘ดอกไอริส’ การเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อน

Irises, 1701–1702, Ogata Kōrin
ดอกไอริส, 1701–1702, โอกาตะ โคริน

โลกตะวันออกมีรสนิยมเรื่องความงามในธรรมชาติอยู่เป็นทุนเดิม ตั้งแต่ความเชื่อท้องถิ่น ศาสนา พัฒนาไปเป็นธรรมเนียมของชนชั้นสูง ตัวอย่างสำคัญปรากฎในศิลปะโบราณของญี่ปุ่น อย่าง ‘ฉากกั้นห้อง’ (Byōbu) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในที่พักอาศัย

ศิลปินสกุลช่างรินปะ (Rinpa) อย่าง โอกาตะ โคริน (Ogata Kōrin) ในยุคเอโดะ ได้วาดภาพ ‘ดอกไอริส’ (Irises) บนฉากกั้นห้องพื้นหลังสีทอง ถ่ายทอดรสนิยมความงามแบบจารีตของญี่ปุ่น

ภาพนี้เล่าเรื่องจากวรรณกรรม ‘อิเสะ โมโนกาตาริ’ (Ise Monogatari) ที่พรรณานาภาพของดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ริมสะพานไม้เก่า ความหมายของดอกไอริสที่เป็นตัวแทนการเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อน

ความน่าสนใจเกิดจากการนำเสนอที่เรียบง่าย ดอกไอริสที่วาดด้วยสีน้ำเงิน ‘อัลตรามารีน’ (Ultramarine) และใบสีเขียวสดใส จัดวางอยู่บนพื้นหลังที่ปิดด้วยทองคำเปลวทึบ ชวนให้ผู้คนตีความ

เทคนิคการวาดที่ไม่มีการตัดเส้นขอบ เน้นระนาบ และการไล่น้ำหนักสี ช่อดอกที่มีความไม่สม่ำเสมอ การจัดวางความงดงามเรียบร้อย สร้างความต่อเนื่องทางสายตา แม้ว่าจะเป็นภาพ 12 ตอน และก่อให้เกิดมิติความลึกที่น่าสนใจ เหล่านี้มาจากความกล้าของศิลปินในการแหวกขนบศิลปะแบบจารีตของญี่ปุ่นในยุคเอโดะ

ฉากกั้นห้องของโคริน ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่น ทั้งนี้ ยังมีฉากอีกชุดที่คล้ายกัน ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (The MET) มหานครนิวยอร์ค นั่นคือภาพ ‘ดอกไอริส ณ ยัตสุึฮาชิ’ (Irises at Yatsuhashi) ที่นำเสนอภาพสะพานร่วมกับดอกไอริส สะพานทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่ง ทำให้สมดุลของภาพเปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ 

ภาพชุดดอกไอริสทั้งสอง ถือเป็นงานคลาสสิกของศิลปะญี่ปุ่นสมัยเอโดะ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินอย่าง วินเซนต์ แวน โก๊ะ กับภาพ ‘ดอกไอริส’ (Irises) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานสำคัญของศิลปะตะวันตกช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะตะวันออก

‘กุหลาบ’ ความงามและอำนาจ

Portrait of Shah Jahan on the Peacock Throne, c. 1640
จักรพรรดิชาห์จะฮันประทับบนบัลลังก์นกยูง, ราวปี 1640

จักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุลลำดับที่ 5 ผู้สร้างทัชมาฮาล ประทับเหนือสัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจ นั่นคือ ‘บัลลังก์นกยูง’ หรือ ทักห์ต-เอ-ตาวส์ (Takht‑i‑Taus) ที่สร้างขึ้นตามบัญชาของพระองค์ ทำจากทองคำ ประดับด้วยเพชร ทับทิม มรกต และไข่มุก ตั้งอยู่ใจกลางพระราชฐานในนครเดลี สัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุด

ดอกไม้ที่จักรพรรดิชาห์จะฮันถือในพระหัตถ์ขวาคือ ‘กุหลาบ’ ตัวแทนของความรักและความงาม กลิ่นของกุหลาบที่ถูกนำไปปรุงเป็นเครื่องหอม ถือเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา ชนชั้นสูง และผู้มีรสนิยมดี

อีกนัยยะหนึ่ง ความงามของดอกไม้ สื่อถึงความงามที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างสรรค์ผ่านธรรมชาติ รวมถึงฉากหลังที่เป็น ‘สวน’ (Charbagh) สื่อถึงความงามของสวรรค์ (Jannah) สัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ ผ่านความเบ่งบานและรุ่งเรือง ถือเป็นการเล่าเรื่องความสมดุลระหว่างอำนาจกับความงาม ผ่านแบบแผนศิลปะโมกุลได้อย่างลงตัว

___

อยากอ่านเรื่องอาร์ตแบบเต็มอิ่ม สามารถตามไปที่ UOB Art Around ใน Facebook หรือ Website นี้ได้เลย !

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save