Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

เบื้องหลังเจาะลึกสุดพิเศษจากผู้สร้าง งานออกแบบฉาก Retro-futuristic แบบ 60s’ ใน The Fantastic Four: First Steps

หากใครได้เห็นภาพของภาพยนตร์ “The Fantastic Four: First Steps” ผ่านตากันแล้ว ก็จะเห็นว่าหนึ่งในจุดเด่นของเรื่องงานภาพที่สวยจับใจ โดยการใช้สไตล์ “Retro-futuristic” หรือ “อนาคตแบบย้อนยุค” ในช่วงยุค 1960s ได้อย่างอลังการมากๆ 

ซึ่งเราเคยเห็นแนวทางนี้กันมาแล้วจากซีรีส์ Loki ของ Marvel Studio นั่นเอง แต่ในครานั้นก็เหมือนเป็นน้ำจิ้มของโลก Retro-futuristic เพราะคราวนี้ The Fantastic Four ในปี 2025 ก็ได้สร้างโลกสไตล์นี้ขึ้นมาอย่างจัดเต็มแบบที่ไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนทำมาก่อน วันนี้ Art of มีเรื่องราวเบื้องหลังสุดพิเศษเกี่ยวกับงานออกแบบฉากมาให้ทุกคนอ่านกัน

ผู้กำกับ Matt Shakman ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าเขาได้นำองค์ประกอบที่ดีที่สุดจากยุค 60s มาใช้ในหนังเรื่องนี้ และเติมแนวทางของในแบบฉบับ “Fantastic Four” ลงไป ทำให้เราได้เห็นภาพของนิวยอร์คแบบที่เราคุ้นเคย แต่มีลวดลายของความ “Retro-futuristic” อยู่ทั่วทั้งเมือง โดยทีม Fantastic Four อาศัยอยู่ในโลกจริง แต่ด้วยพลังพิเศษของพวกเขา จึงทำให้โลกที่พวกเขาอยู่กลายเป็นโลกแฟนตาซีไปได้

ทีมผู้สร้างเน้นการสร้างฉากของจริงขนาดใหญ่ (Practical Set) เพื่อให้เกิดฉากแบบที่ตั้งใจไว้ และฉากแต่ละฉาก สถานที่แต่ละที่ ก็ออกมาได้สวยโดดเด่น แบบที่กดพอสเมื่อไหร่ก็กลายเป็นซีนสวยๆ ได้อย่างที่ทีมงานตั้งใจไว้จริงๆ


สถาปัตยกรรม Baxter Building แรงบันดาลใจจาก Googie architecture

Googie architecture คือสไตล์สถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นในอเมริกายุค 1940s – 60s ซึ่งสะท้อนจินตนาการต่อโลกอนาคตในยุค Space Age ด้วยเส้นสายเฉียบคม รูปทรงโค้งเว้า และใช้วัสดุทันสมัยอย่างกระจกและไฟนีออน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจรวด หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ 

ชื่อ “Googie” มาจากร้านกาแฟ Googie’s Coffee Shop ที่ออกแบบโดย John Lautner และกลายเป็นสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมริมถนนที่ล้ำยุคในสมัยนั้น และสไตล์นี้ก็ถูกนำมาใช้อีกบ่อยครั้ง อย่างที่เป็นภาพจำก็เช่น อาคารในการ์ตูน The Jetsons และในหนัง The incredibles นั่นเอง

ซึ่ง Baxter Building ใน Fantastic Four 2025 ก็สะท้อนความล้ำยุคของยุค 60s ผ่านรูปทรงแบบ Googie และผสานความเรียบเท่ของ mid-century modern ดูเหมาะเป็นอาคารวิทยาศาสตร์แห่งอนาคตมากๆ

งานตกแต่งภายในจัดเต็มในอาคาร Baxter Building 

ฉากที่แสดงความเป็นอินทีเรียจากยุค 1960s ได้ชัดที่สุด ก็ต้องเป็นเพนต์เฮาส์ของครอบครัว Reed ในอาคาร Baxter Building นี่เอง ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์สองชั้นแบบเล่นระดับ การออกแบบให้พื้นที่ห้องนั่งเล่นที่จมอยู่ต่ำลงไป เตาผิงแบบลอยตัวตรงกลาง หรือชั้นลอย ล้วนแต่แสดงความเป็น Retro-futuristic ออกมาได้เต็มที่

แต่การใช้วัสดุจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นไม้ หินแฟลกสโตน และต้นไม้เช่น เฟิร์น ก็ยังทำให้มีความอบอุ่นแบบที่ “ครอบครัวอยู่” ผู้สร้างเผยว่าถึงแม้ว่าเซ็ตนี้จะตั้งอยู่ในเพนต์เฮ้าส์ของตึกสูงกลางนิวยอร์ค แต่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของบ้านเดี่ยวในยุค Mid-Century และได้อิทธิพลจากสถาปนิกในตำนานอย่าง “Eero Saarinen” และ “Oscar Niemeyer” 

ห้องต่างๆ ในเพนต์เฮ้าส์ล้วนสวยสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นห้องครัวสีส้มสดใส ซึ่งใช้สีและวัสดุยอดนิยมในยุคนั้นคือ ลามิเนตและไฟเบอร์กลาสสีส้ม โต๊ะอาหารรูปวงรีแบบคลาสสิคของยุค และตู้เย็นหมุนได้ ห้องนอนของ “Sue” และ “Reed” ที่มีห้องนั่งเล่นขนาดเล็กระดับต่ำกว่าพื้นเช่นกัน ประตูโค้งขนาดใหญ่ไปสู่ห้องน้ำสีเขียวสุดสวย

นอกจากนี้ทีมงานยังตั้งใจเลือกของตกแต่งและหนังสือให้สื่อถึงบุคลิกของตัวละคร เช่น วางคู่มือขับรถ อ้างอิงว่า Reed มีปัญหากับการสอบใบขับขี่ เพื่ออ้างอิงเวอร์ชั่นคอมมิคเป็นกิมมิคด้วย 

ส่วนห้องนอนของ “Johnny” ก็มี Mid-Century เช่นเดียวกัน แต่มีบรรยากาศแบบห้องผู้ชายที่ดิบเท่ สะท้อนจิตวิญญาณรักการผจญภัยของเขา ภายในห้องมีผนังโทนเข้ม เตียงกลม พรมขนสัตว์ และมุมเครื่องเสียงที่ยกระดับขึ้นมา ของสะสมต่างๆในห้องสื่อถึงจิตวิญญาณอิสระเขาได้อย่างชัดเจน

ห้องแล็บของ Reed

อีกหนึ่งฉากที่ใครเห็นเป็นต้องว้าวก็คือฉากห้องแล็บของ “Reed” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังไซไฟในยุค 1960s โปรดัคชั่นดีไซเนอร์พูดถึงแนวคิดในการออกแบบห้องนี้ว่า “ห้องแล็บของ Reed ตั้งอยู่ในอาคารที่มีผู้คนพลุกพล่าน (กลางนิวยอร์ค) ดังนั้นห้องนี้จึงต้องให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบังเกอร์ ที่สามารถทนทานต่อแรงกระแทกจากระเบิดได้” 

นอกจากนี้ ห้องแล็บนี้ยังถูกแบบออกเป็น 3 โซนตามรหัสสี โดยแต่สีพื้นบอกถึงการใช้งานที่ต่างกัน เช่น
โซนสีแดง สำหรับภารกิจที่ต้องใช้มือ เช่น งานอิเล็กทรอนิกส์ เคมี และหุ่นยนต์
โซนสีเหลือง สำหรับการคิดวิเคราะห์ทฤษฏีและอภิปรายแก้ไขปัญหา
โซนสีน้ำเงิน เป็นพื้นที่ควบคุมภารกิจ (mission-control) ที่มีทั้งสถานีคอมพิวเตอร์สุดล้ำ จอภาพขนาดใหญ่ หรือแม้แต่อุปกรณ์เฉพาะที่ออกแบบขึ้นใหม่เพื่อดักจับสัญญาณเสียงจากอวกาศและวิเคราะห์ตำแหน่งดวงดาว

ในห้องนี้ยังติดตั้งระบบรางแขวนเหนือศีรษะ (gantry system) เพื่อช่วยย้ายวัตถุขนาดใหญ่และเพิ่มประสิทธิภาพในพื้นทีอีกด้วย

แค่เห็นฉากก็พอจะดูออกแล้วว่าการผลิตนั้นต้องยากเย็นมากแน่ๆ แต่ก็อดอ้าปากค้างไม่ได้เมื่อรู้เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ จากทีมโปรดัคชั่นดีไซน์ เช่น เพดานของห้องแล็บสร้างจากชิ้นส่วนสามมิติ 69 ชิ้นจากแม่พิมพ์และหล่อขึ้นรูปเป็นลวดลายโค้งบนเพดานซ้ำๆ ใน “โซนสีน้ำเงิน” มีจอแสดงผลแบบสามมิติที่หมุนด้วยความเร็ว 3,000 รอบต่อนาที ที่ต้องสร้างแท่นพิเศษมารองรับ หรือ workstation ในห้องแล็บทั้งหมดนั้น ถูกพิมพ์ขึ้นโดยใช้เครื่องพิมพ์เรซินขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปกันเลยทีเดียว

Future Foundation

ทีมงานได้ใช้อาคาร Palacio de Exposiciones y Congresos ที่โดดเด่นด้วยอินทีเรียสุดล้ำในการถ่ายฉากโถงต้อนรับและห้องประชุมใหญ่ของ Future Foundation ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายในอาคาร Baxter Building ที่เลือกอาคารนี้เพราะห้องโถงใหญ่นั้นโดดเด่นด้วยการใช้สีขาวแนว Futuristic  ที่ผสมผสานดีไซน์สมัยใหม่และความโก้หรูของพื้นที่ได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สร้างชื่อเสียงให้กับสถาปนิก Santiago Calatrava ผู้ออกแบบอาคารนี้

โดยฉากนี้เป็นฉากสำคัญที่ “Sue Storm” จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าตัวแทนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก และส่งเสริมบทบาทของ Fantastic Four ที่ต้องการสนับสนุนสันติภาพและทำประโยชน์ให้กับโลก

โปรดักชั่นดีไซเนอร์ของ Fantastic Four ได้กล่าวไว้ “แม้จะสร้างขึ้นในยุคหลังช่วง Mid-Century แต่เส้นโค้งที่สง่างามและไร้กาลเวลานี้ กลับเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก เป็นมรดกของยุค Mid-Century ที่เป็นแรงบันดาลใจหลักสำหรับงานออกแบบของ Baxter Building เลย” เพื่อสร้างบรรยาการศที่สมบูรณ์แบบ ทางทีมงานได้ออกแบบและสร้างเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมดสำหรับฉากนี้ โดยไม่มีของสำเร็จรูปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว


Fantasticar ยานพาหนะของเหล่า Fantastic Four

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่แฟนตัวจริงต้องกรี๊ดเมื่อได้เห็น First Look “Fantasticar” มีดีไซน์ความเป็น sci-fi retro-futurtistic โดยพัฒนาให้เท่ห์ขึ้น โฉบเฉี่ยวขึ้น และคล้ายรถยนต์จริงมากขึ้นกว่าในคอมมิค โดยออกแบบให้ที่นั่งคนขับอยู่ตรงกลางด้านหน้ารถ แถวที่สองเป็นสองที่นั่ง และแถวที่ 3 มีหนึ่งที่นั่ง เรียงกันเป็นรูปทรงเพชร หลังคาโดมของรถสามารถเปิดได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์

“Fantasticar” มีความยาว 19ฟุต กว้าง7ฟุต ดูทรงพลังและโดดเด่นสะดุดตา ทีมงานเผยว่า “Fantasticar” ถูกออกแบบควบคู่กับ “Excelsior” โดยให้ทั้งคู่มีเอกลักษณ์ในการเป็นพาหนะแฟนตาซีในสไตล์ยุค Mid-Century ด้วยกันทั้งคู่

Excelsior ยานอวกาศสุดล้ำ


ครอบครัวฮีโร่แรกของ Marvel คงจะไม่สมบูรณ์ ถ้าหากไม่มี “Excelsior” ยานอวกาศสุดล้ำของ “Fantastic Four” ที่ออกแบบโดยผสมผสานความสมจริงจากเทคโนโลยีอวกาศยุค “Apollo” เข้ากับจินตนาการจากคอมมิกส์และสไตล์ “pulp futurism

ชื่อของยานเป็นการคารวะต่อวลีของ Stan Lee ว่า “Excelsior” นั่นเอง ดีไซน์ภายในเน้นฟังก์ชันสำหรับสภาวะไร้น้ำหนัก เช่น แผงควบคุมที่ยกสูง ราวจับ แถบเวลโคร และช่องเก็บของแบบนุ่ม ได้แรงบันดาลใจจาก ยาน ISS และกระสวยอวกาศที่มีอยู่จริง โดยการออกแบบยังได้อดีตนักบินอวกาศของ NASA มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในด้านรายละเอียดอีกด้วย 


พาเลตต์สีเทา-น้ำเงินสะท้อนสไตล์ห้องแล็บของ Reed Richards และผนังของยานสะท้อนแสง LED สร้างมิติภาพแบบ sci-fi ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทีมงานสร้างฉากยานนี้นี้จากไฟเบอร์กลาสผ่านเครื่อง CNC แบบ 5 แกน และโฟมความหนาแน่นสูง และติดตั้งบนแกนกิมบอลเพื่อจำลองการเคลื่อนไหวขณะบินได้อย่างสมจริง

“ภายนอกยาน” ใช้ VFX ผสานสไตล์ยุค Mid-Century กับองค์ประกอบ sci-fi เช่น บูสเตอร์หลายชุด ระบบสายเคเบิล 28 จุดและรางซ่อนในเพดานช่วยให้นักแสดงจำลองการลอยตัวได้สมจริง โดยไม่มีการมองเห็นสายบนจอภาพ จะเห็นได้ว่าทีมงานตั้งใจสร้างฉาก “Excelsior” มากแค่ไหน เพราะแค่การผลิตก็ใช้เวลา 12 สัปดาห์ และตกแต่งเพิ่มอีกถึง 3 สัปดาห์ด้วยกัน!


Times Square ในโลก Multiverse 828

“Times Squre” นับว่าเป็นฉากสำคัญในหลายๆช่วงของภาพยนตร์เลยทีเดียว แต่ความท้าทายของ Times Squre ในเรื่องนี้คือต้องถ่ายทอดภาพของนิวยอร์คในยุค Mid-Century ผสานกับจินตนาการแบบ Retro-futuristic ซึ่งทีมงานก็สร้างฉากได้สวยโดดเด่น

โดยการผสมผสานอาคารและร้านคลาสสิคต่างๆ เช่น Horn & Hardart ร้านเสื้อผ้า Leighton’s หรือร้านขายยา Whelan’s Drug Store เข้ากับองค์ประกอบ Retro-futuristic เช่น รถแฟนตาซีต่างๆ ทีมงานทุ่มเทกับฉาก “Times Squre” มากจนสร้างฉากในสเกลใหญ่มากถึง 3 เวอร์ชั่นที่แตกต่างกัน โดยฉากสร้างมีขนาดเล็กกว่าสถานที่จริงแค่ 22% เท่านั้น! และใช้เวลาในการสร้างถึง 15 สัปดาห์เลยทีเดียว

รายละเอียดแต่ละอย่างก็ตาแตกเว่อร์ๆ เช่น อาคารบางหลังในฉากมีความสูงถึง 30 ฟุต (9.15เมตร!) ป้ายบิลบอร์ดที่ปรากฏในฉาก 6 แผ่นถูกวาด “ด้วยมือ” จากศิลปินชื่อดัง การใช้หลอดไฟจำนวน 1,300ดวงในอาคาร RKO Palace หรือการนำนำเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติจากซีซันที่สองของ “Loki” มาแอบติดตั้งไว้ในร้าน Horn & Hardart อีกด้วย

Yancy Street ชุมชนที่อบอุ่น

ในส่วนของ “Yancy Street” จะมีความแตกตากจาก “Times Squre” อย่างชัดเจน ในด้านของความรู้สึกดั้งเดิม ย่านนี้จะให้ความรู้สึกของความเป็นชุมชนที่อบอุ่น จึงเน้นตกแต่งด้วยโทนสีอุ่นๆ และสีอิฐ สร้างบรรยากาศที่น่าอยู่และเปี่ยมด้วยความหวัง ร้านต่างๆในชุมชนนี้ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนต์มีทั้งร้านขนมปังยิว โบสถ์ยิว ร้านตัดผมอิตาเลี่ยน ร้านเดลี่เปอร์โตริโก้ และร้านขายแผ่นเสียงสุดฮิป ผู้ผลิตฉากต้องการให้ “Yancy Street” รู้สึกเหมือนโลกธรรมดา ไม่ใช่โลกอนาตต เพื่อที่เมื่อตัวละคร “Ben Grimm” กลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาจะได้ความรู้สึกเหมือนกลับบ้าน

ทีมผู้สร้างได้นำฉากจากภาพยนตร์เรื่อง “Deadpool & Wolverine” และนำมาปรับโฉม โดยพลิกบรรยากาศจาก Greenwich Village ยุคปัจจุบัน ให้กลายเป็นย่าน Lower East Side ในยุค 1960s ได้อย่างประสบความสำเร็จ ส่วนชื่อร้านต่างๆ รวมถึงอาคารที่พักของ Ben Grimm ก็ล้วนอ้างอิงมาจากคอมมิคแบบเป๊ะๆ

วิชวลเอฟเฟกต์ ช่วยเติมชีวิตให้ทุกอย่างสมจริง

ทีมวิชวลเอฟเฟกต์ นำโดย “Scott Stokdyk” เจ้าของรางวัลออสการ์ด้านวิชวลเอฟเฟกต์ มีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพนิวยอร์กยุค 1960s ที่เป็นอนาคตย้อนยุคให้มีชีวิตชีวา รวมถึงฉากต่างๆในอวกาศอีกด้วย โดยกระบวนการสร้างวิชวลเอฟเฟกต์อ้างอิงมาจากองค์ประกอบจริงทั้งหมด 

เราเห็นแล้วว่าโครงสร้างเรื่องนี้มีสเกลใหญ่มาก แต่วิชวลเอฟเฟกต์นั้นใหญ่กว่านั้นถึง 10 ถึง 100 เท่า! เพราะทีมงานได้ต่อเติมฉากให้สอดคล้องกับธีม Retro-futuristic ตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่ฉากต่างๆในนิวยอร์คถึงยาน “Excelsior” ให้ออกมาเหมือนกับภาพในหัวของทีมงานออกแบบที่สุด เมื่อคนดูได้รับชมผ่านจอ จะได้เห็นเป็นเมืองเรโทรแฟนตาซีที่มีชีวิตชีวา และทำให้ภาพยนตร์ Fantastic Four ออกมาสมบูรณ์แบบ

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save