83Views

‘สีสันและอารมณ์’ ความเหมือนที่แตกต่าง ในศิลปะต่างวัฒนธรรม
รู้หรือไม่ สีเดียวกันอาจให้ความหมายไม่เหมือนกัน
ในแต่ละวัฒนธรรมและยุคสมัย
ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย สถาปัตยกรรม หรือแม้แต่สิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ได้อย่างชัดเจนก็คือ ‘สี’ เพราะสีสามารถส่งผลต่อความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ของคนได้อย่างลึกซึ้ง โดยที่บางครั้งเราอาจไม่ทันรู้ตัว
สีสามารถกระตุ้นความตื่นเต้น ความสุข หรือแม้กระทั่งความเศร้า โดยไม่ต้องพึ่งพาคำพูดแม้แต่น้อย ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ความรู้สึกที่เกิดจากสีไม่ได้มีรูปแบบตายตัว แต่แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ เช่น ‘สีขาว’ ในบางสังคมสื่อถึงความบริสุทธิ์และการเริ่มต้นใหม่ แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลกกลับมองว่าสีนี้เป็นสัญลักษณ์ของความตายหรือการไว้ทุกข์
ด้วยเหตุนี้ ศิลปินจากหลากหลายวัฒนธรรมจึงเลือกใช้ ‘สี’ เป็นภาษาหลักในการถ่ายทอดเรื่องราว ความเชื่อ และอารมณ์ ผ่านมุมมองและค่านิยมที่ฝังรากอยู่ใน ‘วัฒนธรรม’ ของตนเอง ส่งผลให้งานศิลปะแต่ละชิ้น ไม่เพียงแต่งดงามในเชิงรูปธรรม แต่ยังสื่อสารความหมายที่ลึกซึ้งทรงพลัง

วันนี้ UOB Art Around ขอชวนคุณมาทำความเข้าใจเรื่อง ‘สี’ ในฐานะภาษาสากล ผ่านบริบทของผลงานจิตรกรรมที่สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม พื้นที่ และกาลเวลา เรียนรู้ว่าสีมีบทบาทอย่างไรในการสร้างอารมณ์ในงานศิลปะของแต่ละภูมิภาค ทั้งในเชิงจิตวิทยา ความเชื่อ ตลอดจนบริบททางประวัติศาสตร์
สีเขียวแห่งชีวิต
Water Lilies and Japanese Bridge, 1899, Claude Monet
ดอกบัวและสะพานญี่ปุ่น, 1899, โคลด โมเนต์

‘สีเขียว’ เป็นสีพื้นฐานที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ชวนให้นึกถึงพืชพรรณ และความอุดมสมบูรณ์ มีนัยนะสื่อถึงชีวิตและการเจริญเติบโต ด้วยความรับรู้ของสีที่ให้ความรู้สึกสบาย สงบ ปลอดภัย และสร้างความสมดุลทางสายตา จึงถูกใช้ในการสื่อสารเดียวกันแทบทุกอารยธรรมบนโลก
ในโลกตะวันตก สีเขียวอาจเชื่อมโยงกับสวนสวรรค์ตามความเชื่อคริสต์ศาสนา สำหรับโลกตะวันออก สีเขียวอาจเชื่อมโยงกับพืชที่เขียวในทุกฤดู ความหมายเหล่านี้ล้วนมีรากฐานจากธรรมชาติและพืชพรรณทั้งสิ้น
จากนัยยะของ ‘สีเขียว’ กับธรรมชาติ จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารในภาพวาดทิวทัศน์ (Landscape) ในโลกตะวันตก ตั้งแต่ช่วงคริสตศวรรษที่ 17 เรื่อยมาจนถึงการเกิดขึ้นของแนวคิดอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
สีเขียวแห่งชีวิตอันเป็นภาพเขียนสำคัญของ โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ซึ่งถ่ายทอดสวนในบ้านของตนเองที่จิแวร์นี (Giverny) ผ่านผลงาน ‘ดอกบัวและสะพานญี่ปุ่น’ ที่ใช้เฉดสีเขียวอย่างหลากหลาย ไม่ใช่เพื่อสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ แต่เพื่อจับความงามของธรรมชาติซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในช่วงเวลาหนึ่ง สีเขียวในงานของโมเนต์จึงเกิดจากการผสมผสานอย่างอิสระ เพื่อสร้างประสบการณ์ทางสายตาที่ใกล้เคียงกับการมองเห็นของศิลปินในขณะนั้น

วิธีคล้ายกันยังถูกส่งต่อมาสู่งานศิลปะสมัยใหม่ ผลงาน ‘สวนสาธารณะ’ ของกุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt) ศิลปะแนวทางอาร์ตนูโว สร้างสรรค์ภาพด้วยการสร้างจุดสีเขียวที่แตกต่างกันลงไปในภาพ เพื่อสร้างมวลของต้นไม้ขนาดใหญ่ และรูปทรงที่มีความเป็นนามธรรม

หรือตัวอย่างคลาสสิกของสวนแบบตะวันตกในงานของศิลปินชาวเฟลมมิชช่วงยุคทองอย่าง เปเตอร์ เปาล์ รูเบินส์ (Peter Paul Rubens) ในผลงาน ‘สวนแห่งอีเดน’ (The Garden of Eden) ซึ่งนำเสนอภาพสวนเขียวชอุ่มในฐานะแดนสวรรค์ พร้อมพรรณไม้และสัตว์ต่างๆ อย่างสมจริง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าสีเขียวไม่เพียงทำหน้าที่เป็นสีของธรรมชาติ แต่ยังเป็นสื่อกลางระหว่างศิลปิน ผู้ชม และโลกที่เราดำรงอยู่
สีเขียวแห่งความเจ็บป่วย
The Sick Child, 1886, Edvard Munch
เด็กป่วย, 1886, เอ็ดวาร์ด มุงก์

ในทางกลับกัน สีที่เป็นตัวแทนของธรรมชาติอย่าง ‘สีเขียว’ ก็สามารถสื่อสารถึงความหมายอีกด้านของธรรมชาติได้เช่นกัน อย่างความรู้สึกเหนือธรรมชาติ หรือความป่วยไข้ ไปจนถึงความหลอกลวง ความน่าสะพรึงกลัว หรือความริษยา
เห็นได้จากตัวอย่างของตัวละครที่มีร่างกาย ‘สีเขียว’ ในวัฒนธรรมป็อปอย่างแม่มด ยักษ์ สัตว์ประหลาด หรือมนุษย์ต่างดาว ที่ใช้สีเขียวเป็นนัยยะเพื่อสะท้อนสิ่งที่แปลกแยกและไม่น่าไว้วางใจ
การใช้ ‘สีเขียว’ มีบทบาทอย่างมากในศิลปะสมัยใหม่ ภาพ ‘เด็กป่วย’ โดยศิลปินชาวนอร์เวย์ เอ็ดวาร์ด มุงก์ (Edvard Munch) ถ่ายทอดเหตุการณ์การสูญเสียพี่สาวของตนเองจากวัณโรค ซึ่งเป็นความทรงจำฝังใจในวัยเด็กของเขา ผ่านฝีแปรงที่พร่าเลือนสื่อถึงความโศกเศร้าและความหวังที่ริบหรี่ ส่วนโทนสีเขียวที่ย้อมภาพสะท้อนความป่วยไข้และความเสื่อมถอยของชีวิต ซึ่งเหตุการณ์นี้เองที่นำพาตัวศิลปินเข้าไปสู่ศิลปะ แนวเอ็กเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) ในเวลาต่อมา

‘สีเขียว’ ยังถูกใช้ในความหมายอื่นๆ อย่างหลากหลาย เช่นผลงาน ‘โอฟิเลีย’ โดยศิลปินชาวอังกฤษสายพรีราฟาเอลไลต์ (Pre-Raphaelites) จอห์น เอเวอเรตต์ มิเลส์ (John Everett Millais) ใช้สีเขียวสื่ออารมณ์มวลรวมของภาพ นำเสนอความตายจากบทประพันธ์ของวิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) หรือ ภาพ ‘วงเวียนของนักโทษ’ โดยศิลปิน วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh) ใช้สีเขียวในการคุมโทนของภาพ สื่อถึงชีวิตในเรือนจำที่ไร้อิสระและสิ้นหวังของนักโทษที่เดินวนอยู่ในเรือนจำอย่างไร้จุดหมาย
เมื่ออยู่ในมือของศิลปิน ‘สีเขียว’ จึงมิได้เป็นเพียงตัวแทนของธรรมชาติอันงดงาม หากแต่เป็นภาษาทางศิลปะที่เปล่งเสียงของความเปราะบาง ความเจ็บปวด และความจริงอันซับซ้อนของชีวิต

สีน้ำเงินที่สงบสุข
Auspicious Cranes, 1112, Emperor Huizong of Song
หมู่กระเรียนมงคล, 1112, จักรพรรดิฮุ่ยจงแห่งราชวงศ์ซ่ง

สำหรับ ‘สีน้ำเงิน’ ที่มีบทบาทสำคัญ ในฐานะสีที่เชื่อมโยงกับ ท้องฟ้า และจักรวาล ซึ่งอยู่เหนือทุกสิ่งและเข้าถึงทุกผู้คน
ในประวัติศาสตร์ สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่ง ความศักดิ์สิทธิ์ และล้ำค่า เนื่องจากการได้มาซึ่งสารให้สีอย่าง ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) ซึ่งเป็นหินสีที่หายากและมีมูลค่าสูง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาและอำนาจของการปกครอง
ในโลกตะวันออก มีการใช้สีน้ำเงินอย่างต่อเนื่องและยาวนานในวัฒนธรรมจีน นอกจากผลงาน ‘กระเบื้องลายคราม’ อันเลื่องชื่อ ยังปรากฏในงานศิลปะโบราณในราชสำนักอย่างผลงาน ‘หมู่นกกระเรียนมงคล’ ฝีพระหัตถ์ของ จักรพรรดิฮุ่ยจงแห่งราชวงศ์ซ่ง เขียนขึ้นราวปี 1112 สื่อความถึงนิมิตหมายอันดีจากฟากฟ้า
ฝูงนกกระเรียนสื่อถึงความสงบสุขและความเป็นอมตะ เหมือนผู้ส่งสารจากสรวงสวรรค์ ซึ่งแทนด้วยพื้นหลัง ‘สีน้ำเงิน’ และหลังคาพระราชวัง อันเป็นตัวแทนของพระจักรพรรดิจีน สะท้อนความงามของศิลปะภาพวาดของจีนในยุคทองที่เรียบง่ายงดงาม

ในโลกตะวันตก ‘สีน้ำเงิน’ ถูกใช้ในบริบทศาสนาเพื่อสื่อถึงสรวงสวรรค์ เช่น ในภาพเฟรสโก ณ โบสถ์สโครเวญี (Scrovegni Chapel) เมืองปาดัว ประเทศอิตาลี งานชิ้นเอกในช่วงปลายยุคกลาง ซึ่งท้องฟ้าสีน้ำเงินกลายเป็นฉากหลังศักดิ์สิทธิ์ของเหตุการณ์ในพระคัมภีร์

หรือในศิลปะญี่ปุ่นอย่างผลงาน ‘ดอกบ๊วยแดงและขาว’ โดย โอกาตะ โคริน (Ogata Kōrin) ก็ใช้สีน้ำเงินของสายน้ำเป็นแกนกลางของภาพเพื่อสร้างสมดุลกับพื้นทอง เป็นการตีความธรรมชาติในแบบนามธรรมที่สะท้อนความงามตามแนวทางจิตรกรรมสไตล์รินปะ สีน้ำเงินจึงไม่เพียงเป็นตัวแทนของธรรมชาติและความสงบ หากยังสะท้อนอำนาจ ความศักดิ์สิทธิ์ และจักรวาลทางความเชื่อได้อย่างลึกซึ้งในทุกวัฒนธรรม
สีน้ำเงินที่หม่นเศร้า
The Old Guitarist, 1903, Pablo Picasso
นักกีต้าร์รุ่นเก่า, 1903, พาโบล ปิกัสโซ

‘สีน้ำเงิน’ ยังมีด้านมืดที่สัมพันธ์กับความเศร้า ความโดดเดี่ยว และความลึกลับ ซึ่งถูกใช้ในงานศิลปะอย่างลุ่มลึกและหลากหลาย โดยเฉพาะในศิลปะตะวันตกช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19–20 ซึ่งเน้นการสะท้อนสภาพจิตใจของมนุษย์ และการสร้างบรรยากาศที่เยือกเย็นหรือเหนือจริง เพื่อเข้าถึงแก่นของประสบการณ์ภายใน
ผลงาน ‘นักกีตาร์รุ่นเก่า’ โดย พาโบล ปิกัสโซ่ (Pablo Picasso) ศิลปินเอกชาวสเปน เป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้ ‘สีน้ำเงิน’ ในการสื่อสารความเศร้าใน ‘ยุคสีน้ำเงิน’ (Blue Period) ของเขา ภาษาของอารมณ์อันเป็นปัจเจก ท่าทางของบุคคลในภาพที่ห่อเหี่ยวและร่างกายที่ยืดยาว ร่วมกับสีน้ำเงินซึ่งคุมโทนภาพ เล่าเรื่องความสิ้นหวังของศิลปินที่ผ่านเรื่องราวในชีวิต
หรือตัวอย่างในยุคก่อนหน้าอย่างผลงาน ‘หน้าประตูแห่งนิรันดร์’ โดย วินเซนต์ แวนโก๊ะ ซึ่งใช้เสื้อผ้าสีน้ำเงินเพื่อขยายความรู้สึกทุกข์ระทมของบุคคลในภาพ สีจึงไม่เพียงเป็นโทนภาพ แต่คือบทกวีของความเศร้าในเชิงจิตวิญญาณ ที่สะท้อนประสบการณ์อันเปลี่ยวเหงาของศิลปินเองในช่วงเวลานั้น


ในอีกความหมาย ‘สีน้ำเงิน’ ยังมีนัยยะของความเยือกเย็นและลึกลับ เช่นในงานคลาสสิกของเลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) อย่าง ‘พระแม่พรหมจารีย์แห่งหินผา’ นอกจากอาภรณ์สีน้ำเงินของพระแม่ที่ให้ความรู้สึกสงบศักดิ์สิทธิ์ ฉากหลังของถ้ำที่ใช้ เทคนิคสฟูมาโต (Sfumato) ทำให้สีน้ำเงินกลมกลืนกับบรรยากาศที่คลุมเครือและเงียบงัน สะท้อนความเป็นปริศนาในเรื่องของศาสนาและจิตวิญญาณ สีน้ำเงินจึงมิใช่เพียงตัวแทนของความงาม แต่ยังเป็นสีแห่งภาวะภายในที่ลึกซึ้ง
สีแดงแห่งความสง่างาม
The Thirteen Emperors Scroll, c. 650, Yan Liben
ม้วนภาพจักรพรรดิสิบสามพระองค์, ราวปี 650, หยานลี่เปิ่น

‘สีแดง’ เป็นหนึ่งในสีที่มีความสำคัญและโดดเด่นอย่างยิ่งในงานศิลปะทั่วโลก ไม่เพียงแต่ในฐานะสีที่ดึงดูดสายตา หากยังเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งและหลากหลายตามบริบทของแต่ละวัฒนธรรม
ในบริบทของวัฒนธรรมเอเชียตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ล้วนใช้สีแดงอย่างแพร่หลายในฐานะสีแห่งความโชคดี ความมั่งคั่ง และพลังปกป้องคุ้มภัย สีแดงให้ความรู้สึกอบอุ่น มีชีวิตชีวา และเปี่ยมไปด้วยพลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผ่านไปยังงานศิลปะได้อย่างลึกซึ้ง
ในศิลปะจีน เราพบการใช้สีแดงมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทั้งในภาพวาด เสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่างๆ และยังคงปรากฏเด่นชัดตลอดอารยธรรมจีน อย่างในสมัยราชวงศ์ถัง ตัวอย่างสำคัญคือผลงาน ‘ม้วนภาพจักรพรรดิสิบสามพระองค์’ โดย หยาน ลี่เปิ่น (Yan Liben) ราวปี 650 ซึ่งแสดงภาพของพระจักรพรรดิจากราชวงศ์ฮั่นถึงราชวงศ์สุย
สีแดงปรากฏบนฉลองพระองค์ของจักรพรรดิในภาพ ไม่ใช่ในลักษณะที่ครอบงำทั้งองค์ประกอบ แต่เป็นจุดเน้นสำคัญที่ดึงสายตา และสื่อถึงพลัง อำนาจ และสถานะอันสูงส่งขององค์จักรพรรดิ อันเป็นโอรสสวรรค์ สีที่เลือกใช้สะท้อนถึงความสง่างามของราชสำนัก และถ่ายทอดมาจากสีของฉลองพระองค์จริงในประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ สีแดงยังถูกนำมาใช้อย่างมีนัยยะในงานสถาปัตยกรรมด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ‘พระราชวังต้องห้าม’ ใจกลางกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นพระราชวังหลวงของจีนในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง องค์ประกอบสถาปัตยกรรมสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกำแพง ประตู หรืออาคารต่างๆ ต่างตกแต่งด้วยสีแดงเข้มเป็นส่วนใหญ่
สีแดงไม่เพียงสื่อถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ แต่ยังมีความหมายในเชิงปรัชญาจีน โดยเฉพาะในระบบธาตุทั้งห้า (Wu Xing) ของลัทธิเต๋า ที่สีแดงแทน ‘ธาตุไฟ’ และมีความเชื่อมโยงกับทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศที่จักรพรรดิประทับหันพระพักตร์ไป

ความหมายเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏแค่ในงานสถาปัตยกรรม แต่ยังซ้ำซ้อนในศิลปะฝังศพของชนชั้นปกครอง อย่างบรรดาสุสานเจ้านายราชวงศ์ฮั่น ที่พบสิ่งของประกอบพิธีซึ่งทาสีแดง เพื่อแสดงถึงพลังในการปกป้องคุ้มครองดวงวิญญาณและรักษาความสมดุลของโลกหลังความตาย
สีแดงแห่งโลหิต
Portrait of Leo X, 1520, Raphael
พระสันตะปาปาลีโอที่ 10, 1520, ราฟาเอล

ในทางตรงกันข้าม ‘สีแดง’ ในโลกตะวันตกไม่ได้เป็นเพียงสีที่โดดเด่นสะดุดตาเท่านั้น หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาและการเสียสละในบริบทของคริสต์ศิลป์ โดยเฉพาะในฐานะสัญลักษณ์ของโลหิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งหลั่งออกมาเพื่อไถ่บาปมนุษยชาติ แนวคิดที่ถือเป็นแก่นหลักของศาสนา
ทั้งยังสะท้อนถึงมรณสักขี (Martyrs) หรือผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อของตนเอง และเลือดแห่งผู้เสียสละ ความกล้าหาญ และเปลวไฟแห่งศรัทธา สีแดงจึงมิได้เป็นเพียงองค์ประกอบทางศิลปะ แต่ยังยกระดับการรับรู้ทางจิตวิญญาณของผู้ชมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
‘สีแดง’ ยังปรากฏอย่างเด่นชัดในเครื่องแต่งกายของนักบวชในคริสต์ศาสนา ตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงยุคเรอเนสซองส์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือผลงานภาพเหมือนของ ‘พระสันตะปาปาลีโอที่ 10’ โดย ราฟาเอล (Raphael) ราวปี 1520 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภาพเหมือนพระสันตะปาปาที่มีชื่อเสียงที่สุด
ภาพนี้มิได้เป็นเพียงการบันทึกใบหน้า หากแต่เป็นการสะท้อนถึงอำนาจ สถานะ และความศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปาผ่านการใช้สีและเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะมอเซตตา (Mozetta) หรือเสื้อคลุมสีแดงที่พระสันตะปาปาสวมใส่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละและการอุทิศตนเพื่อรับใช้พระเจ้า


นอกจากนี้ สีแดงยังกลายเป็นหนึ่งในสีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นธรรมเนียมในงานจิตรกรรมคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะในการแสดงออกผ่านอาภรณ์ของพระแม่มารีในผลงาน ‘พระนางพรหมจารีรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์’ โดย ทิเชียน (Titian) ซึ่งศิลปินใช้สีแดงในการสร้างบรรยากาศเหนือจริงให้กับเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์ ร่วมกับอาภรณ์สีแดงเปล่งประกายราวกับมีชีวิต
ในทำนองเดียวกัน ผลงาน ‘การถอดอาภรณ์ของพระคริสต์’ โดยเอล เกรโก (El Greco) ศิลปินชาวสเปน ผู้ถ่ายทอดช่วงเวลาอันเจ็บปวดก่อนการตรึงกางเขน ซึ่งมีนัยยะแห่งการไถ่บาป สีแดงบนเสื้อคลุมของพระคริสต์ไม่ได้เป็นเพียงการเน้นองค์ประกอบของภาพเท่านั้น หากยังทำหน้าที่แทนภาพของโลหิตที่กำลังจะหลั่งออก เป็นการเล่าผ่านภาพที่เปี่ยมด้วยความเคารพและความสง่างาม
สีเหลืองทองที่มั่งคั่ง
Frolicking Birds in Plum and Willow Trees, 1631, Kano Sansetsu
หมู่นกเริงร่าใต้ต้นบ๊วยและต้นหลิว, 1631, คาโน ซันเซตสึ

‘สีเหลือง’ มักเชื่อมโยงกับความสูงส่ง และความอบอุ่น หากแต่ในหลายวัฒนธรรมสีเหลืองได้ถูกพัฒนามาสู่ ‘สีทอง’ ทั้งในเชิงวัสดุและความหมาย สื่อสารถึงความเป็นนิรันดร์ ความล้ำค่า และความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือโลก ผ่านวัสดุอย่างทองคำซึ่งมีราคาสูง หายาก และถือเป็นตัวแทนสถานะทางสังคมในแทบทุกวัฒนธรรมของโลก
ศิลปะในญี่ปุ่น เริ่มใช้ ‘ทองคำเปลว’ (Kinpaku) อย่างแพร่หลายในงานจิตรกรรมตั้งแต่ยุคเฮอัน (Heian) เป็นต้นมา โดยเฉพาะบนฉากกั้นห้อง (Byōbu) เพื่อเปลี่ยนแปลงมิติของพื้นที่
ผลงานของ คาโน ซันเซตสึ (Kano Sansetsu) ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่ผสานทองคำเข้ากับภาพธรรมชาติอย่างวิจิตร โดยสีทองถูกใช้เป็นฉากหลังเต็มพื้นที่ แทนพื้นท้องฟ้าหรือทิวทัศน์ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการออกแบบที่เหนือจริงโดยจงใจ เพื่อสร้างความรู้สึกว่าเหล่านกหรือต้นไม้ต่างๆ กำลังอยู่ในโลกที่เกินกว่าความจริง เพื่อเชื้อเชิญให้ผู้ชมดำดิ่งสู่พื้นที่แห่งสมาธิ ความเงียบ และการพินิจ นอกจากนั้นยังแสดงออกถึงความหรูหราสูงส่ง สถานะทางสังคม และรสนิยมของเจ้าของภาพ

ไม่เพียงแต่โลกตะวันออก ‘สีทอง’ ยังคงความหมายผ่านกาลเวลา ‘ฉากแท่นบูชามาเอสตา’ โดย ดุชโช (Duccio) ศิลปินชาวอิตาเลียนช่วงปลายยุคกลาง ได้แสดงการใช้สีทองสำหรับฮาโล (Halo) บนศีรษะนักบุญ และสีเหลืองสำหรับฉากหลัง อันเป็นตัวแทนของสรวงสวรรค์ในคริสต์ศาสนา

หรือตัวอย่างคลาสสิกอย่าง ‘เดอะคิส’ โดย กุสตาฟ คลิมต์ (Gaustav Klimt) ศิลปินชาวออสเตรีย ผู้นำแนวคิดอาร์ตนูโวในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ได้เลือกใช้พื้นหลังสีทองเพื่อสื่อถึงความรักเป็นนิรันดร์ รวมถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยของสังคมในเวลานั้น
สีทองจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ข้ามผ่านกาลเวลาและวัฒนธรรม สื่อถึงความหรูหรา ความล้ำค่า และสถานะสูงส่งของเจ้าของ
สีเหลืองที่แร้นแค้น
The Gleaners, 1857, Jean-François Millet
คนเก็บเมล็ดข้าว, 1857, ชอง-ฟรองซัวส์ มิเลต์

ในทางตรงกันข้าม ‘สีเหลือง’ กลับเป็นตัวกลางสำคัญในการสะท้อนความเป็นจริงในสังคมผ่านงานศิลปะสีที่เป็นตัวแทนของแสงแดด อันส่องให้เห็นถึงชีวิตในสังคมเกษตรกรรมและชนชั้นกรรมาชีพ ประเด็นสำคัญที่ถูกเล่าในแนวสัจนิยม (Realism) ของฝรั่งเศสในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
ผลงาน ‘คนเก็บเมล็ดข้าว’ โดย ชอง-ฟรองซัวส์ มิเลต์ (Jean-François Millet) ศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้บุกเบิกแนวคิดสัจนิยม ได้ใช้สีเหลืองในการอาบโทนของภาพเพื่อสื่อถึงความยากจน ความแร้นแค้น และความอดทนของผู้คนที่อาศัยในชนบท อันขยายความรู้สึกของแสงแดดที่แผดเผา กลุ่มผู้หญิงที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวสาลี บ่งบอกถึงชีวิตชนบทที่ยากจนและการแสวงหาความอยู่รอด

สีเหลืองของแสงแดดยังถูกเล่าผ่านศิลปะ ไม่เพียงแต่ภาพที่แสดงชีวิตกลางแจ้ง แต่ยังรวมถึงภาพที่แสดงพื้นที่ในอาคาร ที่แสงทะลุผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ก่อให้เกิดบรรยากาศแบบสลัว ซึ่งโดดเด่นในงานของศิลปินเอกชาวดัชต์อย่าง แรมบรันต์ (Rembrandt) ซึ่งใช้แสงสลัวในการสะท้อนบรรยากาศอันลึกลับ ภาพที่ถูกอาบด้วยสีเหลือง ตัดกับเงาสีเข้มของส่วนที่ไม่โดนแสง

รวมถึงผลงาน ‘ตู้รถไฟชั้นสาม’ โดย โอโนเร โดมิแยร์ (Honoré Daumier) ที่นำเสนอชีวิตของชนชั้นแรงงานผ่านแสงสลัวที่เข้ามาในตู้รถไฟ ‘สีเหลือง’ ในงานของศิลปินไม่เพียงแค่สะท้อนแสงธรรมชาติ แต่ยังทำหน้าที่สะท้อนถึงความลำบากและการดิ้นรนในชีวิตจริง แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงในสังคมที่ถูกบดบังด้วยภาพลวงของความหรูหราและอำนาจ
อยากอ่านเรื่องอาร์ตแบบลึกๆ ตามไปที่ UOB Art Around ใน Facebook หรือ Website ได้เลย !