Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

งานศิลปะหน้าตาแบบเนี้ยะ ชอบม้า ชอบม้า ! สำรวจเรื่องราวของ ‘ม้า’ ผ่าน 5 ผลงานต้อนรับปีมะเมีย

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ‘ม้า’ ได้รับการยกย่องให้เป็นสัตว์ที่มีความผูกพันกับอารยธรรมมนุษย์อย่างแนบแน่น ไม่เพียงในฐานะพาหนะหรือเครื่องมือในการทำสงคราม แต่ยังรวมถึงการเป็นสัญลักษณ์แทนคุณธรรมและความเชื่ออันหลากหลายในแต่ละวัฒนธรรมทั่วโลก

เมื่อก้าวเข้าสู่ ‘ปีมะเมีย’ หรือปีนักษัตรม้า จึงอยากชวนไปสำรวจบทบาทของสัตว์ชนิดนี้ ผ่านมุมองของศิลปะ พาเราให้เข้าใจถึงพัฒนาการทางสังคมและมุมมองที่มนุษย์มีต่ออำนาจ ความกล้าหาญ และความสวยงามที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

ในโลกศิลปะ ภาพของม้าถูกถ่ายทอดออกมาในหลากหลายรูปแบบและเทคนิค ตั้งแต่ประติมากรรมดินเผาโบราณ ไปจนถึงภาพเขียนสีน้ำมันที่วิจิตร

การปรากฏตัวของม้าในงานศิลปะมักแฝงไปด้วยนัยสำคัญทางการเมืองและจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนถึงแสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร การเป็นสหายผู้ซื่อสัตย์ของชนชั้นสูง หรือแม้กระทั่งการเป็นสื่อกลางในการส่งต่อข้อความทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งทำให้งานศิลปะเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงภาพแทนของสัตว์สี่เท้า แต่เป็นบันทึกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าของมนุษยชาติ

Art of ขอสวัสดีปีใหม่ 2026 ‘ปีม้า’ด้วยการพาทุกคนร่วมเดินทางสำรวจเรื่องราวของม้าผ่านผลงานศิลปะชิ้นเอกที่สะท้อนถึงบริบททางประวัติศาสตร์จากหลายมุมโลก ต้อนรับปีมงคลด้วยความเข้าใจในมรดกทางศิลปะที่มีม้าเป็นตัวละครเอกในการร้อยเรียงเรื่องราวระหว่างโลกมนุษย์และโลกแห่งจินตนาการ !


‘ม้า’ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ

Napoleon Crossing the Alps, 1801–1805, Jacques-Louis David

หากจะกล่าวถึงภาพ ‘ม้า’ ในงานศิลปะของตะวันตก คงไม่สามารถไม่พูดถึงภาพเขียนระดับตำนาน อย่างภาพ ‘นโปเลียนข้ามเทือกเขาแอลป์ (Napoleon Crossing the Alps)’ ได้ ภาพนี้ถูกวาดโดยจิตรกรเอกแห่งยุคนีโอคลาสสิกแห่งฝรั่งเศส อย่าง ‘Jacques-Louis David’

ภาพของจักรพรรดินโปเลียนบนหลังม้า ทะยานขึ้นเหนือฉากหลังที่เป็นเทือกเขาหิมะ ถูกตามพระบัญชาของกษัตริน์การ์โลสที่ 4 แห่งสเปน (Charles IV of Spain) ในปี ค.ศ. 1800 เพื่อต้องการกระชับมิตรภาพระหว่างสเปนและฝรั่งเศส

หลังจากจักรพรรดินโปเลียนได้เห็นภาพนี้ มีความชื่นชอบมาก จึงสั่งให้ดาวีดวาดเพิ่มขึ้นอีก 4 ภาพ เพื่อนำไปประดับในสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น ปารีส มิลาน และแวร์ซายส์ อย่างไรก็ตามภาพนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ ‘โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)’ มากกว่าจะเป็นภาพเหตุการณ์ที่บันทึกประวัติศาสตร์จริง

จักรพรรดินโปเลียนข้ามเทือกเขาแอลป์ด้วย ‘ล่อ (Mule)’ เพราะมันมีความอดทนและเหมาะกับการเดินบนทางลาดชันที่เต็มไปด้วยหิมะมากกว่าม้า สภาพอากาศค่อนข้างดีและปลอดโปร่ง ต่างจากพายุหิมะและลมแรงในภาพ รวมถึงนโปเลียนเองไม่ได้ขี่ม้านำทัพอย่างโดดเดี่ยวตามที่เห็น แต่เขาข้ามไปหลังจากที่กองทัพส่วนใหญ่ข้ามไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้นำทางท้องถิ่นช่วยพาไป

มุมซ้ายล่างของภาพ ศิลปินยังใส่สัญลักษณ์สำคัญ เพื่อเปรียบเทียบนโปเลียนกับวีรบุรุษในอดีต ผ่านจารึกอักษรบนหิน 3 ชื่อ เพื่อสื่อว่านโปเลียนคือทายาทผู้สืบทอดความยิ่งใหญ่ของตำนานเหล่านี้ ได้แก่

  1. BONAPARTE นามสกุลของนโปเลียนเอง
  2. HANNIBAL ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งคาร์เธจที่เคยนำทัพข้ามเทือกเขาแอลป์ไปตีโรม
  3. KAROLUS MAGNUS หรือจักรพรรดิชาร์เลอมาญ ผู้รวบรวมยุโรปและเคยข้ามเขาแอลป์เช่นกัน

ม้าสีเทาขาวในภาพมีชื่อว่า ‘Marengo’ ซึ่งเป็นม้าตัวจริงของนโปเลียน แม้มันจะไม่ได้ถูกขี่ข้ามแอลป์ในวันนั้นจริงๆ ท่วงท่าที่ม้ายืนด้วยสองขาหลัง สร้างเส้นทแยงมุมที่ทรงพลัง สอดคล้องกับแขนของนโปเลียนที่ชี้ไปข้างหน้า สื่อถึงทิศทางแห่งชัยชนะและความก้าวหน้าของฝรั่งเศสภายใต้ผู้นำที่เข้มแข็ง

ภาพนี้จึงไม่ใช่สื่อที่เน้นความถูกต้องแม่นยำ แต่เป็น ‘ภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ’ ที่นโปเลียน และศิลปินอย่างดาวี ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อประกาศให้โลกเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ


‘ม้า’ ที่ทุกข์ทรมานจากสงคราม

Guernica, 1937, Pablo Picasso

ภาพของ ‘ม้า’ ยังคงเป็นตัวแทนของสงครามตั้งแต่โลกโบราณ เรื่อยมาจนโลกสมัยใหม่ หนึ่งในจิตรกรเอกผู้บุกเบิกศิลปะสมัยใหม่คนสำคัญ อย่าง ‘Pablo Picasso’ ได้อาศัยสัญลักษณ์คลาสสิกในการสื่อสารอย่างมีชั้นเชิง

ในภาพ ‘Guernica’ จากม้าที่เป็นตัวแทนของชัยชนะและอำนาจ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์ทรมานของประชาชนผู้บริสุทธิ์ และการทำลายล้างโดยไร้ความปรานี

ปิกัสโซวาดภาพขนาดมหึมานี้หลังจากได้รับข่าวการทิ้งระเบิดที่เมืองเกอร์นิกา ในแคว้นบาสก์ของสเปน โดยฝูงบินเยอรมันและอิตาลีในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน มุ่งเป้าไปที่พลเรือนเพื่อสร้างความหวาดกลัว

ปิกัสโซซึ่งอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสในขณะนั้น ใช้ ‘สีขาว-เทา-ดำ’ เพื่อสื่อถึงบรรยากาศของภาพข่าวในหนังสือพิมพ์และความเศร้าโศกที่ไร้สีสัน ศูนย์กลางของภาพคือ ‘ม้า’ ที่กำลังร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ร่างกายบิดเบี้ยว ปากเปิดกว้าง สื่อถึงเสียงกรีดร้องที่ไม่มีสิ้นสุด

ม้าในภาพนี้คือตัวแทนของ ‘ประชาชน’ ผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของการทำสงครามที่ไร้มนุษยธรรม ลวดลายบนตัวม้าชวนให้นึกถึงข้อความบนหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นวิธีที่โลกได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในเกอร์นิกา เมื่อสังเกตที่จมูกและฟันของม้า จะพบว่ามีการจัดวางองค์ประกอบให้ดูเหมือนหัวกะโหลกมนุษย์แฝงอยู่ ซึ่งเป็นการตอกย้ำเรื่องความตาย ร่างกายของม้าถูกเสียบด้วยหอก สัญลักษณ์ของการสังเวยและความเจ็บปวดที่เกิดจากเทคโนโลยีอาวุธสมัยใหม่

ยังมีภาพของ ‘กระทิง’ ที่อยู่ทางซ้ายมือของภาพ อาจหมายถึงสัญลักษณ์ของ ‘ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism)’ หรือสัญลักษณ์ของ ‘สเปน’ และความแข็งแกร่งของชาวสเปนที่ยังคงยืนหยัดท่ามกลางซากปรักหักพัง โดยได้แรงบันดาลใจมาจากพิธีกรรม ‘การสู้วัวกระทิง (Corrida)’ ที่มักจะมีการบาดเจ็บและล้มตายของม้า

ปิกัสโซได้ขยายภาพความรุนแรงในสังเวียนให้กลายเป็นสงครามระดับชาติ ที่ซึ่งม้าไม่ได้เป็นเพียงสัตว์พาหนะอีกต่อไป แต่เป็นจิตวิญญาณที่ถูกทำลายโดยอาวุธที่มองไม่เห็นจากฟากฟ้า


‘ม้า’ แห่งการรวมรัฐเป็นหนึ่ง

Horses from Emperor Qin Shi Huang’s Mausoleum, c. 210 B.C.

หากจะพูดถึง ‘ม้า’ ในงานศิลปะและความเชื่อ ก็คงจะนึกถึง ‘จีน’ เป็นวัฒนธรรมแรก ๆ นอกจากคติปีนักษัตรที่เรารู้จักกันดีแล้ว ม้ายังมีความหมายในเชิงมงคลอย่างมากมายตลอดอารยธรรมของจีน อย่างความสำเร็จ ความกล้าหาญ หรืออำนาจ โดยนำมาให้ความหมายหลักผ่านงานศิลปะตั้งแต่แรกเริ่มอารยธรรมเมื่อสี่พันปีก่อน

ตัวอย่างสำคัญที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ ‘ประติมากรรมม้าดินเผา’ ซึ่งพบใน ‘สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี’ เมืองซีอาน มณฑลส่านซี สาธารณรัฐประชาชนจีน ถูกสร้างขึ้นโดย ‘จิ๋นซีฮ่องเต้’ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน เมื่อกว่า 2,200 ปีก่อน ในฐานะจักรพรรดิพระองค์แรกผู้สามารถรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ หลังจากการค้นพบโดยบังเอิญในปี ค.ศ. 1974

นอกจากหุ่นทหารดินเผา ยังมีประติมากรรม ‘ม้า’ ในสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซี กว่าหลายร้อยตัว และกระจายอยู่ตามหลุมต่างๆ ตั้งแต่

  • หลุมที่ 1 พบม้าดินเผาจำนวนมากที่ใช้ลากรถศึกไม้ โดยจัดวางสลับกับกองทหารราบ
  • หลุมที่ 2 แหล่งรวม ‘กองทัพม้า (Cavalry)’ โดยพบม้าดินเผาพร้อมอานม้าและทหารม้า รวมถึงม้าลากรถศึกซึ่งแสดงถึงหน่วยรบที่เคลื่อนที่เร็ว
  • หลุมที่ 3 พบม้าดินเผา 4 ตัวลากรถศึกหนึ่งคัน ซึ่งคาดว่าเป็นรถศึกระดับผู้บัญชาการหรือกองบัญชาการส่วนหน้า

รวมถึงในแนวกำแพงสุสาน ยังพบรถม้าสำริด (Bronze Chariots) 2 คัน ที่ทำรายละเอียดอย่างประณีตในมาตราส่วนครึ่งหนึ่งของของจริง โดยแต่ละคันใช้ ม้าสำริด 4 ตัว ในการลาก รถม้านี้เอง อาจใช้เป็นราชพาหนะของจักรพรรดิในโลกหลังความตาย

กองทัพม้าเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยความใส่ใจในรายละเอียดทางกายวิภาคอย่างยิ่ง ตัวม้ามีความแข็งแรง ขาสั้น ลำคอหนา และแสดงออกถึงพลัง สะท้อนความสำเร็จของราชวงศ์ฉินในการรวมรัฐที่แตกแยกเข้าเป็นหนึ่งเดียวและการสถาปนาระบบราชการที่รวมศูนย์อำนาจ ซึ่งมีรากฐานมาจากการพัฒนากองกำลังเคลื่อนที่เร็ว ระเบียบวินัยและการฝึกฝนที่เข้มงวด และการจัดการทหารที่มีประสิทธิภาพ

การมีอยู่ของม้าเหล่านี้ในสุสานตอกย้ำความเชื่อที่ว่า อำนาจทางการทหารเป็นสิ่งนิรันดร์และต้องติดตามจักรพรรดิไปแม้แต่ในดินแดนหลังความตาย


‘ม้า’ กับความผูกพัน

Sala dei Cavalli, Palazzo del Te, c. 1525–1535, Giulio Romano

ในโลกตะวันตกเอง ก็มีการปรากฎของ ‘ม้า’ ในงานศิลปะมาอย่างยาวนานเช่นกัน ผ่านบทบาทของม้าในวิถีชีวิตของชาวยุโรป ไม่ว่าจะเป็นในการทำเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ การศึกสงคราม หรือการแข่งม้าเพื่อความบันเทิง ทำให้ม้าในงานศิลปะมีความหมายที่หลากหลาย

ผลงานในยุคเรอเนสซองส์ในอิตาลี อย่างภาพเขียนใน ‘โถงแห่งอาชา (Sala Dei Cavalli)’ ใน ‘พระราชวังเต (Palazzo del Te)’ ผลงานของศิลปิน ‘Giulio Romano’ ผู้เลื่องชื่อ สร้างขึ้นตามบัญชาของดยุกเฟเดริโกที่ 2 แห่งตระกูลกอนซากา (Federico II Gonzaga) ผู้ครอง ‘นคร Mantua’ ซึ่งเป็นนครรัฐอิสระ และเป็นหนึ่งในผู้เพาะพันธุ์ม้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุโรปสมัยนั้น

ม้าจากคอกม้ากอนซากาเป็นสินค้าที่มีค่าสูง ใช้ทั้งในการออกศึก การแข่งขัน และการส่งเป็นของขวัญทางการทูตให้แก่จักรพรรดิและกษัตริย์ในยุโรป เฟเดริโกที่ 2 จึงเลือกที่จะอุทิศห้องรับรองหลักของพระราชวัง ให้แก่ภาพเหมือนของม้าตัวโปรดของเขา

ภาพเหมือนม้าในห้องนี้มีขนาดเท่าตัวจริง 6 ตัว ถูกวาดไว้เหนือแนวประตูและช่องเปิดของผนัง ภาพถูกออกแบบให้ลวงตา โดยมีภาพวาดม้าตั้งอยู่หน้าช่องเปิดที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ ประกอบกับองค์ประกอบสถาปัตยกรรมคลาสสิก

ม้าเหล่านี้ถูกวาดรายละเอียดอย่างแม่นยำ ทั้งรูปร่าง สีขน และท่วงท่า ยกระดับม้าขึ้นสู่สถานะของ ‘ภาพเหมือน (Portraiture)’ ซึ่งโดยปกติสงวนไว้สำหรับมนุษย์ แสดงให้เห็นถึงความผูกพันทางอารมณ์และคุณค่าที่มีต่อสัตว์เหล่านี้

ความพิเศษอีกอย่างคือ ม้าที่ปรากฎในห้องโถงนี้มีตัวตนจริงที่มีชื่อเรียก แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี แต่ชื่อของม้า 2 ตัวยังคงปรากฏชัดเจนอยู่ใต้ภาพ ได้แก่ ‘โมเรล ฟาโวริโต (Morel Favorito)’ ม้าสีเทาที่ผนังด้านทิศใต้ และ ‘ดาริโอ (Dario)’ ม้าสีอ่อนที่ผนังด้านทิศเหนือ

ท่วงท่าของม้าที่ดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหวและแววตาที่สบกับผู้ชมทำให้ม้าเหล่านี้มีชีวิตชีวา ความเป็นปัจเจกนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อม้า จากในเครื่องมือทำสงครามยุคโบราณ มาเป็นสหายผู้มีเกียรติของมนุษย์ในยุคเรอเนสซองส์ ประกอบกับความมั่งคั่ง รสนิยมที่เหนือชั้น และความพร้อมทางการทหารของนครรัฐในช่วงเวลานั้น


‘ม้า’ ตัวเมียแห่งความสงบ

Horse, c. 1970–now, Deborah Butterfield

‘ม้า’ ยังคงถูกใช้สื่อสารในศิลปะร่วมสมัย แต่ด้วยความหมายที่พิเศษ และแตกต่างจากในอดีต ศิลปินอย่าง ‘Deborah Butterfield’ ได้นำเสนอม้าในแง่มุมที่ตัดขาดจากการเมืองและการสงครามโดยสิ้นเชิง โดยมุ่งเน้นไปที่จิตวิญญาณ และความสงบภายในของสัตว์ชนิดนี้

บัตเตอร์ฟิลด์มีชีวิตในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งทำให้เธอรู้สึกต่อต้านความสัมพันธ์ระหว่างม้ากับสงครามในประวัติศาสตร์ศิลปะ เธอเลือกที่จะวาดและปั้นเฉพาะ ‘ม้าตัวเมีย (Mares)’ เท่านั้น และมองว่าผลงานเหล่านี้คือภาพเหมือนเชิงสัญลักษณ์ของตัวเธอเอง

ม้าของเธอไม่เคยอยู่ในท่วงท่าที่พยศหรือวิ่งแข่งขัน แต่จะอยู่ในท่าที่สงบนิ่ง ยืนพักผ่อน ก้มลงกินหญ้า หรือล้มตัวลงนอน สร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจระหว่างผู้ชมกับงานศิลปะ

เธอต้องการให้คนมองม้าในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีธรรมชาติของตนเอง ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะเข้าไปควบคุมหรือใช้ประโยชน์ ถ่ายทอดสรีระของม้าผ่านวัสดุที่ดูเหมือนจะแตกสลายได้ง่าย ตั้งแต่โคลน ฟาง และกิ่งไม้ เพื่อสร้างม้าที่ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของดิน สื่อถึงความไม่จีรังและความเปราะบางของชีวิต ต่อมาเธอเริ่มใช้เศษเหล็กจากการเกษตร รั้วลวดหนาม และท่อเก่า ๆ มาประกอบเป็นรูปร่างม้า เหล็กที่ขึ้นสนิมสื่อถึงกาลเวลาและความทนทานที่ยังคงแฝงไว้ด้วยความละเอียดอ่อน

ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเธอในปัจจุบันคือ การใช้กิ่งไม้หรือไม้ลอยน้ำ (Driftwood) มาประกอบเป็นม้า จากนั้นจึงทำการหล่อสำริดทีละชิ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้พื้นผิวที่เหมือนไม้จริง กระบวนการนี้เป็นการแปรเปลี่ยนสิ่งที่สลายได้ให้กลายเป็นสิ่งถาวร โดยยังคงรักษาจิตวิญญาณของไม้ดั้งเดิมไว้

ความอัจฉริยะของเธออยู่ที่การทำให้วัสดุที่ไร้ชีวิต ดูมีลมหายใจขึ้นมาได้โดยไม่ต้องแสดงรายละเอียดเหมือนจริง แต่เป็นการใช้จังหวะและพื้นที่ว่างของวัสดุ เพื่อสร้างความรู้สึกของกล้ามเนื้อและอารมณ์ การที่ม้าของเธอไม่มี ‘อาน’ หรือ ‘บังเหียน’ เป็นการปลดปล่อยม้าออกจากภาระหน้าที่ที่มีต่อมนุษย์ และให้ม้าได้ดำรงอยู่อย่างอิสระในโลกของศิลปะ

บทความโดย Pradhom

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save