Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

พาไปทำความรู้จักโบราณวัตถุชิ้นเอกแห่ง ‘อียิปต์’ เตรียมพร้อมเดินทางสู่ ‘Grand Egyptian Museum’

หลายคนน่าจะได้เห็นข่าวการเปิดอย่างเป็นทางการของพิพิธภัณฑ์อียิปต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิดจุดบรรจบระหว่างอารยธรรมโบราณกับนวัตกรรมล้ำยุคของโลกยุคใหม่ ทำให้ Grand Egyptian Museum ยืนหยัดอย่างสง่างามท่ามกลางทิวทัศน์ของมหาพีระมิดบนที่ราบสูงกิซา

จากกระแสตอบรับที่ดีมาก มีหลายคนเตรียมตัวจองไกด์ จองทัวร์ อยากไปชมความอลังการของมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติให้เห็นกับตา เมื่อโบราณวัตถุล้ำค่ากว่า 10,000 ชิ้น จากทั่วทุกภูมิภาคของดินแดนอียิปต์ ถูกนำมาร้อยเรียงเรื่องเล่านำเสนอเรื่องราวเบื้องหลังสัญลักษณ์แห่งอำนาจ ศาสนา และวัฒนธรรมอียิปต์โบราณอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์แบบที่สุด

และเพื่อเพิ่มความอินก่อนบินไปชมของจริง วันนี้ขอพาทุกคนไปเจาะลึกข้อมูลทางโบราณคดี ความงามเชิงศิลปะ สัมผัสความมหัศจรรย์ของเทคนิคการจัดแสดง พร้อมทำความรู้จักกับโบราณวัตถุชิ้นเอกที่ห้ามพลาดไปพร้อมกัน !


Grand Egyptian Museum

ที่มาของโครงการ ‘พิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์’ หรือ ‘Grand Egyptian Museum (GEM)’ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับมหาพีระมิดกิซ่า มากกว่าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ แต่เป็นโครงการระดับเมกะโปรเจกต์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ออกแบบมาเพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอียิปต์ โดยเกิดจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์เดิม นั่นคือ ‘พิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian Museum)’ หรือ ‘พิพิธภัณฑ์ไคโร (Cairo Museum)’ ที่จัตุรัสตะฮ์รีร์ (Tahrir Square) ซึ่งเปิดทำการมาตั้งแต่ ค.ศ. 1902 ไม่สามารถจัดแสดงคอลเลกชันโบราณวัตถุทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน

วัตถุหลายชิ้นต้องถูกจัดเก็บไว้ในคลัง การจัดแสดงและสภาพแวดล้อมที่ไม่ทันสมัย รวมถึงจำนวนผู้เข้าชมจำนวนมากเกินกว่าที่อาคารจะรองรับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติจากสุสานของ ‘ฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamun)’ ที่ค้นพบในปี ค.ศ. 1922 ไม่สามารถถูกจัดแสดงได้อย่างครบชุดและเหมาะสมกับคุณค่า

ด้วยการเปิดตัวของ GEM โบราณวัตถุที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือชิ้นส่วนที่ถูกเก็บรักษาไว้ จะถูกนำเสนอต่อสาธารณะภายใต้แนวคิดการเล่าเรื่องเชิงประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ ยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าชมด้วยเทคโนโลยีและวิธีการจัดแสดงที่ทันสมัย เป็นศูนย์กลางการวิจัย การจัดเก็บ และการสงวนรักษาโบราณวัตถุหลายล้านชิ้น

ออกแบบโดย Heneghan Peng Architects

โครงสร้างขนาดมหึมาของพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิก ‘เฮนเนกาน เพง (Heneghan Peng Architects — HPARC)’ จากไอร์แลนด์ ถูกกำหนดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อุทิศให้กับอารยธรรมเดียว

โดยจัดแสดงโบราณวัตถุมากกว่า 50,000 ชิ้น ซึ่งมากกว่าจำนวนชิ้นงานที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ โดยชนะการประกวดแบบระดับนานาชาติ ในปี ค.ศ. 2002 ที่มีบริษัทสถาปนิกจากทั่วโลกส่งผลงานเข้าประกวดมากถึง 1,557 บริษัท จาก 82 ประเทศ ด้วยแนวคิดการผสานความทันสมัยเข้ากับภูมิทัศน์และประวัติศาสตร์ของอียิปต์

สถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์ เกิดจากรูปทรงสามเหลี่ยมขนาดมหึมาจากผังของอาคารสะท้อนรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของมหาพีระมิดและไม่บดบังภูมิทัศน์โดยรอบ การออกแบบอาคารและทางเดินถูกกำหนดด้วยแนวแกนสายตาที่พุ่งตรงไปยังมหาพีระมิดทั้งสาม ทำให้ผู้เข้าชมสามารถมองเห็นภาพของมรดกโลกอันยิ่งใหญ่ผ่านกรอบของสถาปัตยกรรมใหม่

โดยเฉพาะการจัดวางโบราณวัตถุ ได้รับการออกแบบให้เป็น ‘การเดินทางผ่านกาลเวลา (Chronological Route)’ โดยเริ่มจากรูปปั้นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ‘โถงหลัก (Grand Atrium)’ ไปยังลำดับราชวงศ์ตาม ‘โถงบันไดหลัก (Grand Staircase)’ สูง 6 ชั้น ไต่ระดับขึ้นสู่ชั้นบนสุดที่เป็นพื้นที่จัดแสดงหลัก เปิดสู่ทิวทัศน์ของมหาพีระมิดเป็นฉากหลัง และจบลงด้วยการสำรวจชีวิตหลังความตายของฟาโรห์ตุตันคามุน เสมือนการค่อย ๆ เดินทางจากโลกสมัยใหม่เข้าสู่โลกแห่งฟาโรห์


โถงทางเข้าหลัก เปิดประตูสู่โลกแห่งอียิปต์โบราณ

The Grand Atrium — Colossal Statue of Ramesses II

โถงทางเข้าหลักของ Grand Egyptian Museum ถือเป็นหัวใจและจุดเริ่มต้นของประสบการณ์การเข้าชมทั้งหมด โดยได้รับการออกแบบมาอย่างอลังการเพื่อสร้างความประทับใจแรกและกำหนดโทนการเดินทางสู่โลกอียิปต์โบราณ

โถงหลักสูงกว่า 50 เมตร โดดเด่นด้วยผนังกระจกขนาดใหญ่สูงเต็มความสูงของอาคารที่ปลายสุด สร้างความรู้สึกโปร่งโล่งและอลังการ เพดานของโถงถูกออกแบบให้กรองแสงธรรมชาติให้ส่องลงมาในโถงด้านล่างได้อย่างสวยงาม ผ่านโครงสร้างหลังคา และแผ่นกรองแสง

Colossal Statue of Ramesses II

งานศิลปะชิ้นแรกของพิพิธภัณฑ์ถูกนำเสนอตั้งแต่โถงทางเข้า นั่นคือ ‘ประติมากรรมของฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Colossal Statue of Ramesses II)’ ซึ่งมีน้ำหนัก 83 ตัน สูงกว่า 11 เมตร และมีอายุกว่า 3,200 ปี

รูปปั้นมหึมานี้ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์และผู้ต้อนรับ ผู้มาเยือนทุกคนที่ก้าวเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ เป็นการยกระดับความอลังการและยิ่งใหญ่ของโบราณวัตถุที่กำลังจะได้ชม ถูกสกัดจากหินแกรนิตสีแดงที่มาจากเมืองอัสวาน ค้นพบในปี ค.ศ. 1820 ที่โบราณสถานมิต-ราฮินา ทางตอนใต้ของไคโร ในสภาพแตกออกเป็น 6 ชิ้นส่วน

ฟาโรห์ทรงยืนก้าวไปข้างหน้าด้วยขาซ้าย ซึ่งเป็นท่าทางตามแบบฉบับของอียิปต์โบราณที่สื่อถึงพลังชีวิตนิรันดร์ สวม ‘มงกุฎคู่แห่งอียิปต์’ บนผ้าคลุมศีรษะแบบเนเมส (Nemes Headdress) และขนนกอาเตฟ (Atef Feathers) ซึ่งเป็นเครื่องประดับของเทพโอซิริส ยืนยันถึงสถานะอันศักดิ์สิทธิ์และอำนาจของพระองค์ในฐานะทั้งกษัตริย์และเทพเจ้า

Ramesses II Sqaure

ประติมากรรมมหึมาชิ้นนี้ เคยถูกตั้งอยู่หน้าจตุรัสของสถานีรถไฟกลางแห่งกรุงไคโร ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 หลังการบูรณะ ทำให้ได้รับการขนานนามว่า ‘จัตุรัสรามเสส (Ramesses II Sqaure)’

หากแต่สภาพแวดล้อมของมลพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อน และการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องจากจราจรในใจกลางเมืองไคโร ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการจัดแสดงวัตถุโบราณที่เปราะบาง จึงมีการเคลื่อนย้ายพระรูปอายุ 3,200 ปีนี้ออกจากจัตุรัสรามเสสในปี ค.ศ. 2006 และย้ายเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ GEM ในปี ค.ศ. 2018

สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลและนักโบราณคดีของอียิปต์จัดลำดับความสำคัญของการอนุรักษ์ระยะยาว เหนือกว่าความสะดวกในการเข้าถึงในพื้นที่สาธารณะ ผ่านการลงทุนในขั้นตอนการวางแผนและการขนส่งที่ซับซ้อน รวมถึงการสร้างแบบจำลองเพื่อทดสอบเส้นทาง ถือเป็นการยืนยันถึงหลักการและความมุ่งมั่นของ GEM ในการปกป้องมรดกโลก


โถงบันไดหลัก ประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์ตามลำดับเวลา

The Grand Staircase — Chronological Route of Egyptian Art

จากโถงทางเข้าหลัก เราจะถูกนำไปสู่ ‘โถงบันไดหลัก’ ซึ่งตั้งอยู่ด้านขวาของทางเข้า เป็นเส้นทางสำคัญที่นำผู้เข้าชมขึ้นไปยังส่วนห่องจัดแสดงหลักของพิพิธภัณฑ์ โดยได้รับการออกแบบให้เป็นโถงจัดแสดงประติมากรรมแนวตั้ง

บันไดขนาด 6 ชั้นนี้จัดแสดงชุดประติมากรรมขนาดยักษ์ ‘เรียงตามลำดับเวลา (Chronological Route)’ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมเห็นวิวัฒนาการทางศิลปะและประวัติศาสตร์ของอารยธรรม ตั้งแต่สมัยก่อนราชวงศ์ (Predynastic Period) ไปจนถึงสมัยราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom)

ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1 (Senusret I)

เปิดด้วยพระรูปยืน 10 องค์ของ ‘ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1 (Senusret I)’ จากโบราณสถานกลุ่มพีระมิดที่เมืองลิสต์ (Lisht) อายุราว 4,000 ปี ถูกจัดวางเรียงขึ้นตามแนวบันไดในรูปแบบสามเหลี่ยม

พระรูปเหล่านี้เป็นตัวแทนที่สมบูรณ์แบบของประติมากรรมสมัยราชอาณาจักรกลาง (Middle Kingdom) ในราชวงศ์ที่ 12 ซึ่งถือเป็นยุคทองของความมั่นคงและศิลปะแบบคลาสสิกของอียิปต์ แกะสลักจากหินปูนอย่างประณีต

ฟาโรห์ประทับบนบัลลังก์ในแบบฉบับความงามอุดมคติของอียิปต์ พระพักตร์ไม่แสดงอารมณ์ รวมถึงพระวรกายที่สมมาตร ประกอบกับสัญลักษณ์ที่แสดงอำนาจเหนือแผ่นดินอียิปต์

ฟาโรห์ฮัตเชปสุต (Hatshepsut)

ถัดมาคือประติมากรรมของ ‘ฟาโรห์ฮัตเชปสุต (Hatshepsut)’ หนึ่งในฟาโรห์สตรีแห่งราชวงศ์ที่ 18 สมัยราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) เคยตั้งอยู่ขนาบข้างประตูหินบนระเบียงชั้นบนของวิหารของฮัตเชปสุตที่เดียร์ เอล-บาห์ริ (Deir el-Bahri) สลักจากหินแกรนิต สูงกว่า 2.4 เมตร แสดงภาพของอุดมคติของฟาโรห์ ชายหนุ่มที่อยู่ในวัยหนุ่มที่สมบูรณ์เต็มที่ ไม่แสดงความเสื่อมของอายุ

รวมถึงสัญลักษณ์ของเพศหญิง ซึ่งจะไปอยู่ในจารึกแทน พระองค์ทรงเครื่องกษัตริย์อย่างครบถ้วน ได้แก่ ผ้าคลุมศีรษะเนเมส เคราปลอม และผ้าเตี่ยวที่มีแผงสามเหลี่ยมด้านหน้า มือทั้งสองข้างเปิดออกซึ่งเป็นท่าทางของการบูชา

ฟาโรห์อเคนาเทน (Akhenaten)

อีกหนึ่งประติมากรรมขนาดมหึมาบนโถงบันไดหลังของพิพิธภัณฑ์ นั่นคือ ‘ฟาโรห์อเคนาเทน (Akhenaten)’ ซึ่งเหลือเฉพาะส่วนพระเศียร

ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 18 องค์นี้ได้ละทิ้งการบูชาเทพเจ้าแบบดั้งเดิมไปสู่การบูชาเทพ ‘อาเตน (Aten)’ เพียงองค์เดียว และยังทรงย้ายเมืองหลวงไปยังนครอมาร์นา (Amarna) ศิลปะในช่วงนี้ จึงมีลักษณะที่แตกต่างออกไปอย่างมาก โดยเน้นความบิดเบือนทางสรีระและรายละเอียดที่ผิดจารีต เช่น รูปหน้าที่ยาว ดวงตาเรียว ริมฝีปากหนา

รูปพระเศียรนี้ถูกวางไว้ในตำแหน่งที่แยกออกไป จากรูปฟาโรห์องค์อื่น ๆ ที่เป็นไปตามหลักศาสนาแบบดั้งเดิม เพื่อสะท้อนถึงการปฏิวัติทางศาสนาที่เป็นเอกเทศ

โบราณวัตถุอื่นๆ

นอกจากบรรดาพระรูป ภายในโถงบันไดหลักยังจัดแสดงโบราณวัตถุที่มีความน่าสนใจโดดเด่นอีกหลายชิ้น เช่น ศิลาจารึกแห่งชัยชนะของฟาโรห์เมอร์เนปทาห์ (Merneptah) แห่งราชวงศ์ที่ 19 แสดงถึงชัยชนะในการรบกับชาวลิเบีย และถือเป็นบันทึกของอียิปต์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึง ‘อิสราเอล (Israel)’ ในฐานะกลุ่มชนที่ตั้งรกรากในดินแดนคานาอัน

โลงหินของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 (Thutmose I) ทำจากหินควอตไซต์ (Quartzite) ก้อนเดียว โดยนำมามาจากสุสานในหุบผากษัตริย์ เดิมถูกสร้างขึ้นโดยฟาโรห์สตรีฮัตเชปสุต ผู้เป็นหลานสาวของเขา เพื่อแสดงถึงความกตัญญู และสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของเธอในการสร้างความชอบธรรมให้แก่การปกครองของตนผ่านการให้เกียรติบรรพบุรุษ


เรือสุริยะแห่งคูฟู การเดินทางครั้งสุดท้ายของฟาโรห์

Journey to the Afterlife — Solar Barque of Khufu

พิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์แห่งนี้ ไม่เพียงแต่ประกอบด้วยอาคารจัดแสดงหลักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาคารประกอบเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อรองรับโบราณวัตถุที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมสูง นั่นคือ ‘เรือสุริยะของฟาโรห์คูฟู (Solar Barque of Khufu)’

Solar Barque of Khufu

เรือสุริยะของฟาโรห์คูฟู สร้างในรัชกาลของฟาโรห์คูฟู แห่งราชวงศ์ที่ 4 เป็นโบราณวัตถุอินทรีย์ (Organic Relic) ที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดที่รู้จักในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

เรือลำแรกนี้มีอายุประมาณ 4,600 ปี และถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1954 ในสภาพที่ถูกแยกชิ้นส่วนอยู่ในหลุมปิดผนึกข้างมหาพีระมิดแห่งกิซา ซึ่งเป็นสุสานของพระองค์ เรือนี้มีความยาว 43.4 เมตร กว้าง 5.9 เมตร และลึก 1.78 เมตร ทำจาก ‘ไม้ซีดาร์ (Cedarwood)’ ซึ่งนำเข้าจากเลบานอน

ด้วยความเก่าแก่โบราณวัตถุ ทำให้อ่อนไหวอย่างมากต่อความเสียหายจากสิ่งแวดล้อม เรือทั้งสองลำจึงถูกย้ายจากอาคารจัดแสดงเดิมที่อยู่ข้างมหาพีระมิด มาสู่อาคารใหม่ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอาคารจัดแสดงหลัก ภายในบริเวณของพิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ ซึ่งภายในอาคารใหม่ที่มีการควบคุมสภาพอากาศอย่างเข้มงวด สะท้อนให้เห็นถึงมาตรการอนุรักษ์ระดับโลก

มูลเหตุแห่งการสร้างเรือยังคงเป็นหัวข้อของการถกเถียงทางวิชาการ ทฤษฎีหลักมีสองแนวทาง ได้แก่

  1. การเป็นเรือในพระราชพิธีพระบรมศพ ที่ตั้งใจจะใช้ในการเดินทางของฟาโรห์ไปสู่ในโลกหน้าพร้อมกับสุริยเทพรา (Ra)
  2. อีกทฤษฎีหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่าประเภทและขนาดของมันบ่งชี้ว่าเป็นเรือเดินสมุทรสำหรับการค้าขาย โดยอาจใช้ในการนำเข้าไม้ซีดาร์ที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างจากเลบานอน

การจัดแสดงนี้ ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมได้ทำความเข้าใจถึงกระบวนการตีความทางโบราณคดีที่กำลังดำเนินอยู่


สมบัติแห่งตุตันคาเมน การจัดแสดงแบบครบสมบูรณ์ครั้งแรกของโลก

Glorious of the Young King — The Tutankhamun Collection

โบราณวัตถุจากสุสานในหุบผากษัตริย์ของ ‘ฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamun)’ คือเหตุผลหลักที่ทุกคนรอคอยการเปิดตัวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

คอลเลกชั่นนี้ถือเป็น ‘ผลงานชิ้นเอก’ ของพิพิธภัณฑ์ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ‘โฮเวิร์ด คาเตอร์ (Howard Carter)’ ค้นพบสุสานในปี ค.ศ. 1922 ที่โบราณวัตถุทั้งหมด 5,398 ชิ้น ซึ่งก่อนหน้านี้กระจายอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง จะถูกนำมาจัดแสดงร่วมกันอย่างสมบูรณ์

การนำเสนอสมบัติเหล่านี้ไม่เพียงเพื่อแสดงความมั่งคั่ง แต่เพื่อสร้างภาพที่สมบูรณ์ของชีวิตและความเชื่อในยุคราชอาณาจักรใหม่ที่ฟาโรห์ตุตันคาเมนฟื้นฟูการบูชาเทพเจ้าแบบดั้งเดิมหลังการปฏิรูปศาสนาของพระบิดา

Tutankhamun Mask

‘หน้ากากทองคำ (The Golden Mask)’ ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ถือเป็นโบราณวัตถุที่โด่งดังที่สุดในโลกและเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมฟาโรห์ สร้างจากทองคำที่มีน้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม ประดับด้วยหินมีค่า เช่น ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) คาร์เนเลียน (Carnelian) ออบซิเดียน (Obsidian) และเทอร์ควอยซ์ (Turqouise)

ในทางศาสนา หน้ากากนี้แสดงภาพฟาโรห์ในร่างของเทพโอซิริส (Osiris) เทพแห่งชีวิตหลังความตาย มีการจารึกบทสวดจาก ‘คัมภีร์มรณะ (Book of the Dead)’ ทำหน้าที่เป็นเวทมนตร์คุ้มครองและนำทางดวงวิญญาณ

Tutankhamun Throne

ถัดมาคือ ‘บัลลังก์ทองคำ (The Golden Throne)’ เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอก และเครื่องราชกกุธภัณฑ์ (Royal Regalia) ที่ถูกพบในห้องโถงด้านหน้าของสุสาน

โครงสร้างทำจากไม้ปิดด้วยทองคำเปลว มีการฝังด้วยเงินและหินกึ่งมีค่าอย่างประณีต ขาบัลลังก์เป็นรูปอุ้งเท้าสิงโต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและการคุ้มครอง

ส่วนสำคัญคือพนักพิงของบัลลังก์ ซึ่งแสดงฉากชีวิตประจำวันระหว่างตุตันคามุน และพระชายาอังเคเซนามุน (Ankhesenamun) นอกจากคุณค่าในเชิงศิลปะ โบราณวัตถุชิ้นนี้ถือเป็รหลักฐานที่แสดงถึงการกลับมาของรูปแบบศิลปะแบบอุดมคติมากขึ้น หลังจากการปฏิรูปทางศาสนาที่เข้มงวดของยุคอมาร์นา

พิธีกรรมพระบรมศพของฟาโรห์

การจัดแสดงนี้ ยังให้ความสำคัญในการอธิบายความซับซ้อนของพิธีกรรมพระบรมศพของฟาโรห์ ระบบประกอบด้วย ‘โลงศพ (Shrines)’ ปิดทอง 4 ชั้น ที่ซ้อนกันตามลำดับจากใหญ่ไปเล็ก และ ‘หีบศพ (Coffins)’ ทั้งหมด 3 ชั้น

หีบศพชั้นในสุดทำจากทองคำแท้ จัดแสดงโดยใช้ตู้กระจกแบบซ้อนชั้น (Layered Vitrine) ช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าถึงจารึกฮีโรกลิฟิกบนผนังโรงศพได้โดยตรง และ ‘โถเก็บเครื่องใน (Canopic Chest)’ ทำจากหินแคลไซต์ (Calcite) สีขาวใส บรรจุอวัยวะภายในที่สำคัญของฟาโรห์ที่ถูกนำออกมาเพื่อทำพิธีมัมมี่

โถนี้ถูกบรรจุอยู่ในหีบที่ปิดทอง ทำเลียนแบบอาคารจำลอง ประกอบด้วยรูปปั้นเทพีสี่องค์ ได้แก่ เทพีเซอร์เกต (Serket) เทพีไอซิส (Isis) เทพนีธ (Neith) และเทพีเนพทิส (Nephthys) ซึ่งยืนทำหน้าที่คุ้มครองอวัยวะภายใน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นคืนชีพของฟาโรห์ในโลกหน้า

นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุอีกหลายรายการ เช่น

  • กริชใบมีดเหล็กจากอุกกาบาต (Meteoric Iron Dagger) ซึ่งใบมีดทำจากเหล็กที่มีต้นกำเนิดจากอุกกาบาต
  • กริชใบมีดทองคำ (Gold-Bladed Dagger)
  • หุ่นชับติ (Shabti Figures) จำนวนหลายร้อยตัว เป็นรูปปั้นขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อรับใช้ฟาโรห์ในโลกหลังความตาย
  • รถม้าพิธีการ (Ceremonial Chariots) สร้างเพื่อวัตถุประสงค์เชิงพิธีกรรมเท่านั้น
  • เตียงศพรูปสัตว์ (Animal-Form Funerary Beds) ซึ่งสัตว์เหล่านี้มีความเชื่อมโยงทางสัญลักษณ์กับเทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนชีพและโลกใต้พิภพ โดยทำหน้าที่คุ้มครองฟาโรห์และนำทางพระองค์อย่างปลอดภัยในการเดินทางสู่ยมโลก

บทความโดย: Pradhom

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save