ทำไม ‘โรมิโอ’ เวอร์ชั่นลีโอนาร์โดถึงใส่ ‘เสื้อฮาวาย’ ?
บทละครโศกนาฏกรรมก้องโลกอย่าง ‘Romeo and Juliet’ คือบทประพันธ์ของ ‘วิลเลียม เชกสเปียร์’ เป็นเรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างหนุ่มสาวสองตระกูลที่ถูกนำมาผลิตซ้ำจำนวนมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

ตีความเชกสเปียร์ด้วยภาษา Visual ร่วมสมัย
เวอร์ชันที่โดดเด่นและทรงพลัง สามารถนำ Romeo and Juliet มามีชีวิตในยุคโมเดิร์นจนกลายเป็น Pop Culture ได้ คือภาพยนตร์ ’Romeo + Juliet’ ในปี 1996


Romeo + Juliet (1996) มีความเจ๋งตรงที่บทพูดยังคงใช้ภาษาเชกสเปียร์แบบดั้งเดิม แต่ด้วยสไตล์การกำกับของ ‘Baz Luhrmann’ ที่มักหยิบเอาภาพ สี เสียง ดนตรี และแฟชั่นมาสร้างประสบการณ์ร่วมให้กับผู้ชม จึงทำให้งานมีความร่วมสมัย ส่งผลให้บรรยากาศของเรื่องมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
มาเฟียลาตินแบบคาปูเลต VS ไมอามี่แก๊งสเตอร์แบบมอนตาคิว
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ‘คอสตูม’ ที่สื่อถึงอัตลักษณ์ของแต่ละตระกูลอย่างชัดเจนและกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้หนังมีสไตล์ที่ชัดมากยิ่งขึ้น
‘ตระกูลคาปูเลต’ ตระกูลของจูเลียตจะใส่เสื้อรัดรูป ลวดลายบาโรก สไตล์คาวบอยลาติน มีโทนสีดำ สีทอง สีแดง ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากมาเฟียลาตินในยุค 90 ที่สำคัญผู้กำกับได้แรงบรรดาลใจมาจากหนังเรื่อง Scarface และ The Godfather

ในขณะที่ ‘ตระกูลมอนตาคิว’ ฝ่ายของโรมิโอ จะใส่เสื้อเชิ้ตฮาวาย ยีนส์ เสื้อกั๊ก โทนสีฟ้า สีแดง สีขาว เพราะเมือง Verona Beach เป็นเมืองสมมติที่ผสมบรรยากาศของ ไมอามี่, ลอสแองเจลิส, เม็กซิโก, เมืองทะเลทรายอเมริกันใต้เข้าด้วยกัน จึงออกมาเป็นเสื้อฮาวาย และเสื้อผ้าทรงหลวม มีลักษณะของแก๊งสเตอร์วัยรุ่น

สัญญะที่ซ่อนอยู่ในเสื้อฮาวายของโรมิโอ
หนึ่งในลุคแฟชั่นที่ติดตาและเป็นที่จดจำที่สุดในเรื่องคือลุคที่โรมิโอใส่เสื้อฮาวายสีน้ำเงิน ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีสัญญะหลายอย่างซ่อนอยู่บนเสื้อ ซึ่งฝ่ายคอสตูมบอกว่าเป็นการออกแบบเพื่อบอกใบ้เหตุการณ์ล่วงหน้าของหนัง
โรมิโอใส่เสื้อฮาวายอยู่ 2ตัว ตัวแรกคือลายดอกซากุระที่ Kym Barrett ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจอวางขายที่ไมอามี่ ส่วนอีกตัวคือตัวที่ออกแบบเอง ซึ่งเป็นลายที่ทีมงานซ่อนความหมายสัญลักษณ์ไว้ด้วยความตั้งใจ


เสื้อฮาวายตัวนี้มีลาย ‘Sacred Heart of Jesus’ หรือเรียกว่า พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูอยู่ตรงกลาง เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ปรากฏซ้ำหลายครั้งในหนัง กล่าวถึงความรักที่ร้อนแรงจนไฟแผดเผา ซึ่งตัวผู้กำกับก็ใช้สิ่งนี้เป็นคอนเซ็ปต์หลักของหนังทั้งเรื่องด้วย
ทั้งยังมีดอกลิลลี่ ซึ่งสื่อถึงความบริสุทธิ์และความตาย ลวดลายเหล่านี้ทำหน้าที่บอกใบ้ถึงจุดจบอันเศร้า เพราะในฉากสุดท้ายจูเลียตถือช่อดอกลิลลี่ ขณะที่โรมิโอพบเธอนอนนิ่งในโบสถ์



นี่จึงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์มาก สะท้อนความขัดแย้งของความศรัทธา ความรุนแรง ความรัก เข้าด้วยกันผ่านการออกแบบในทุกส่วน มากกว่านั้นยังเป็นโรมิโอและจูเลียตในยุคใหม่ที่สมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นหนังจากยุค 90 ที่ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน

