485Views
เจาะลึกความหมายลึกลับของเส้นสีแดง ในซีรีส์ S Line
ช่วงที่ผ่านมา คงมีใครหลายคนสังเกตเห็นมีมที่มีลักษณะเป็นเส้นสีแดงออกจากหัวเต็มโซเชียลมีเดียเยอะไปหมด มีมเหล่านี้มาจากซีรีส์เกาหลีที่มีชื่อว่า S Line ซีรีส์แนวทริลเลอร์ แฟนตาซีสุดแปลก ออกอากาศทาง Wavve ผ่านการเล่าเรื่องและผลิตโดย Sidus Pictures ที่นอกจากจะมีพล็อตเรื่องสุดล้ำแล้วซีรีส์เรื่องนี้ยังมีการนำเสนอเรื่องราวทางสังคมไว้อย่างแยบยล ซึ่งสามารถรับชมในไทยได้แล้วผ่านทางแอปพลิเคชัน Monomax
วันนี้ Art of จะมาเล่าถึงเรื่องราวของสัญญะและรายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้ เพราะเส้นสีแดงนี้มีอะไรซ่อนไว้มากมายจริงๆ


S Line คืออะไร

S Line เป็นคำที่ย่อมาจาก Sex Line ซึ่งถูกพูดถึงครั้งแรกในต้นฉบับเว็บตูนที่มีชื่อเรื่องเดียวกัน และวาดโดยนักวาดชื่อ “โกมาบิ” (꼬마비) โดยเล่าถึงโลกที่ความเป็นส่วนตัวหรือ Privacy ที่ถูกทำลาย เมื่อเส้นสีแดงปรากฎขึ้น มันบ่งบอกถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนที่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน เส้นสีแดงนี้สามารถเกิดขึ้นได้ไม่จำกัดตามจำนวนคนที่เรามีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย และจะสลายหายไปหากใครคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต
เนื้อเรื่องมีการเล่าเชิงเสียดสีอย่างตรงไปตรงมา จนนำมาสู่การสร้างเป็นซีรีส์จำนวน 6 ตอน ที่กำกับและเขียนบทโดย อัน จู-ยอง (Ahn Joo-young) โดยตัวซีรีส์เล่าย้อนกลับไปก่อนเรื่องราวในเว็บตูนจะเกิดขึ้น ในช่วงก่อนทุกคนบนโลกจะสามารถมองเห็นเส้นสีแดงได้เป็นเรื่องปกติ
จากความโรแมนติก สู่พันธะมืดที่ผูกติดไว้โดยเชือกสีแดง

เงื่อนไขการมีอยู่ของเส้น S Line นั้นมีความคล้ายคลึงกับตำนานด้ายสีแดงแห่งโชคชะตา ซึ่งเป็นตำนานความเชื่อที่แพร่หลายมากในเอเชียตะวันออก ที่ว่าด้วยเรื่องความรักของหนุ่มสาว ที่เปรียบเสมือนการผูกจิตอันแรงกล้าก่อนจะตายจากกันในชาติที่แล้ว และเชื่อกันว่าคนที่คู่กันจะเกิดมาพร้อมกับเส้นด้ายสีแดงผูกติดไว้ที่นิ้วก้อยที่เชื่อมถึงกัน และด้ายแดงจะค่อยๆ ขดลงจนทำให้คนที่คู่กันได้มาพบกันในที่สุด
ตัวอย่างภาพยนตร์ที่เคยนำเสนอเรื่องของตำนานเส้นด้ายสีแดงได้อย่างชัดเจน ก็คือภาพยนตร์แอนิเมชัน ‘Your Name‘ ของ มาโกโตะ ชินไค ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ของความรักที่เหนือการเวลาบนจอภาพยนตร์มาแล้ว

ซึ่งซีรีส์อย่าง S Line ก็เป็นการหยิบยกเอาความเชื่อที่แพร่หลายในเอเชียนี้มาตีความใหม่เชิงเสียดสีอย่างตรงไปตรงมา เปลี่ยนจากความโรแมนติก มาเล่าเรื่องราวมุมมืดของความสัมพันธ์ลับของมนุษย์ โดยเปลี่ยนจากการผูกมัดในความรักเป็นความสัมพันธ์ทางเพศ
นอกจากนี้เส้นสีแดงที่เปลี่ยนจากนิ้วก้อยเป็นเชือกสีแดงที่พุ่งออกจากหัว ที่สื่อไปถึง ‘ความทรงจำ‘ ที่ทิ้งร่องรอยไว้ในตัวบุคคล เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความลับที่ทั้งสองฝ่ายรู้อยู่แก่ใจ แต่มิอาจให้ใครรู้ได้
รู้จักกับ MacGuffin การเล่าเรื่องโดยใช้สัญญะวัตถุ

เชื่อว่าใครหลายคนผ่านตากับภาพยนตร์และซีรีส์ที่มีการเล่าเรื่องแบบ MacGuffin โดยไม่รู้ตัว ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นจากนักเขียนบทชาวอังกฤษอย่าง คุณ Angus MacPhail ที่ได้นิยามคำๆนี้ขึ้นมาเพื่ออธิบายกลไกการดำเนินเรื่องในการเขียนบทของเขา
ที่ว่าด้วยเรื่องของ การใช้สิ่งของหรือองค์ประกอบบางอย่างในเรื่อง ที่ตอนแรกดูเหมือนจะสำคัญมาก แต่จริงๆ แล้วไม่สำคัญโดยตรง แต่แค่มีไว้เพื่อทำให้เรื่องเดินต่อ หรือทำให้ตัวละครตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง อย่างเช่น ในภาพยนตร์ Indiana Jones สิ่งของศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวละครต้องไปตามหา นั่นคือ MacGuffin แต่สิ่งสำคัญจริงๆ คือ การผจญภัยนั่นเอง
เช่นเดียวกับซีรีส์นี้ ที่ผู้กำกับ อันจูยอง ใช้ “ความสัมพันธ์ทางเพศ” หรือ เส้น S Line เป็น MacGuffin โดยตัวเส้นสีแดงนั้นดูเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เนื้อเรื่องอยากพูดถึงคือ ธรรมชาติลึกๆ ของมนุษย์
โดยในบทสัมภาษณ์ อันจูยองบอกว่า เธอต้องการให้ S Line ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเปิดเผยแง่มุมต่างๆ ของผู้คน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในธรรมชาติของมนุษย์ ตราบใดที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย S Line เป็นเหมือนความจริงที่ไม่ได้ถูกยอมรับจากตัวของมนุษย์เอง มันไม่ควรถูกมองในแง่ลบ แต่เพราะมันนำไปสู่เรื่องที่น่าเศร้า ซึ่งต้นเหตุเกิดจากการไม่ยอมรับถึงความจริงในเรื่องนั้น

“แนวคิดของการที่ใครบางคนสามารถ ‘มองเห็น S-Line’ ได้นั้น เป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ว่า มนุษย์เราโดยธรรมชาติมักจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น ทั้งที่ในขณะเดียวกัน เรากลับอยากซ่อนเรื่องของตัวเองเอาไว้” – อันจูยอง
การออกแบบเส้น S Line จากเส้นการ์ตูนสู่เส้นเสมือนจริง

ด้วยต้นฉบับที่เล่าเรื่องจากในเวอร์ชั่นเว็บตูนที่เป็นลายเส้นการ์ตูน จึงเป็นความท้าทายของทีมงานเป็นอย่างมากในการออกแบบเส้นนี้ในซีรีส์ ว่าเมื่อออกมาในเวอร์ชั่นคนแสดงจริงแล้ว เส้นนี้จะให้ความรู้สึกอย่างไรบนจอ ในขั้นตอนการดีไซน์เส้น S Line ทีมงานใช้เวลาในการปั้นเส้นด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกเป็นระยะเวลาถึงหกเดือน

เพื่อปรับเส้นให้ดูมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ให้ดูเหมือนแสงเลเซอร์มากเกินไป เส้นจึงมีความพริ้วไหว ประหนึ่งเชือกลอยที่อยู่ในอากาศ ทีมงานได้ลองวิธีที่หลากหลายเพื่อจะทำให้ลักษณะเส้น S Line เด่นสะดุดตาอยู่ตลอด แต่ก็พยายามระวังไม่ให้ไปรบกวนสายตาคนดูมากเกินไป

วิธีนี้จึงทำให้เราเห็นว่าในตัวซีรีส์ แม้กับฉากตัวละครที่มีเส้นนี้เพียงเส้นเดียว เส้น S Line ก็จะไม่ดูกลืนไปกับฉาก ผลสุดท้ายของเส้นนี้ จึงได้ออกมาเป็นเส้นที่ขยับอย่างลื่นไหล ดูเหมือนมีชีวิตในตัวเอง เหมาะกับโทนเซอเรียลแฟนตาซีของซีรีส์
โลกเซอเรียล ในซีรีส์ S Line

ความหมายของตัว “S” ในซีรีส์ S Line มีการได้ให้ความหมายเพิ่มเติมจากเว็บตูน ที่นอกจากจะหมายถึง Sex เพียงอย่างเดียวยังหมายถึง Social และ Secret ด้วย โลกของ S Line จึงถูกวางให้มีความเป็นเซอเรียลจัดๆ ภายในเรื่อง โลกที่เต็มไปด้วยความพัวพันเหมือนใยแมงมุม ยุ่งเหยิงด้วยเส้นสีแดงของผู้คนในสังคมมากมาย

สิ่งที่น่าสนใจคือ การนำเสนองานภาพหรือ visual ในเรื่อง ที่ทำให้โลกของ S Line เป็นเหมือนโลกที่เป็นแก่นแท้ ในขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงเป็นแค่เปลือกนอก และตั้งคำถามไปถึงความน่าเชื่อถือของคนเราในสังคมทุกวันนี้ที่ตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก เช่น คนหน้าตาดี ดูน่าคบหา ที่อาจเป็นเพียงแค่คนสร้างภาพ หรือกลับกัน คนที่ถูกสังคมเมินเฉยอาจเป็นคนที่ดีมากก็ได้
หากลองคิดเล่นๆว่าเส้นพวกนี้ปรากฎกับคนใหญ่คนโต เหล่าผู้นำโลก มันอาจจะนำมาสู่ความขัดแย้งใหญ่โต เรื่องซุบซิบ ต้นเหตุอาชญกรรมมากมายที่อาจลามไปสู่สงครามได้เลยทีเดียว

ในซีรีส์ เราจะได้เห็นโลกของ S Line ผ่านมุมมองของตัวละครที่มีพลังพิเศษอยู่แล้ว แต่จะมีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง เป็น แว่นตาวิเศษ ที่จะทำให้คนปกติสามารถมองเห็นเส้น S Line ได้ แว่นตานี้จึงเป็นเหมือนอาวุธอันตรายที่จะใช้สำหรับทำลายความ Privacy ลงได้
งานศิลปะกับเส้นด้ายสีแดง

มีศิลปินหลายคนที่ใช้สัญญะของเส้นสีแดงในการสร้างสรรค์อีกด้วย เช่น คุณ Chiharu Shiota เธอเป็นศิลปินญี่ปุ่นที่ใช้ ‘ด้าย’ หรือ ‘เส้นไหม’ เป็นวัสดุหลักในงานศิลปะจัดวาง (Installation) ของเธอ โดยเฉพาะ ‘ด้ายสีแดง’ ที่เธอมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ ความทรงจำ และสิ่งเชื่อมโยงผู้คน

งานของเธออย่าง The Key in the Hand (2015) ที่ Venice Biennale ใช้เส้นด้ายสีแดงนับหมื่นเส้นถักร้อยห้อยกุญแจนับพันดอก เพื่อสะท้อนความทรงจำและชีวิตของผู้คนที่ถูกผูกโยงไว้ด้วยกัน สีแดงในงานเธอไม่ได้มีแค่ความหมายโรแมนติกแบบตำนานด้ายแดง แต่ยังสื่อถึง เลือด ชีวิต ความเปราะบาง และ ความทรงจำที่ยังคงเชื่อมโยงอยู่อีกด้วย
บทความโดย รณกร หนูจีนเส้ง
เรียบเรียงโดย เบญญดา ถาวรเศรษฐ
source:
Duniagames | Koreatimes | Kbizoom | Thaijo | Chiharu Shiota | Artnet | Naver
