209Views

เบื้องหลังการคืนชีวิต ‘ไดโนเสาร์’ จากทีม 3D Paleo Artist ในนิทรรศการ ‘THAINOSAUR’
‘ไดโนเสาร์’ สิ่งมีชีวิตในอดีตที่เราคงไม่เคยเห็นตัวจริง แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหล ปลุกจินตนาการในตัวเราได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่ใกล้ๆ ตัวเรา ก็มีเจ้าไดโนเสาร์ และสัตว์ดึกดำบรรพ์กว่าร้อยสายพันธุ์กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศไทย
เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นของสิ่งมีชีวิตมหึมาเหล่านี้ เคยสะท้อนกึกก้องอยู่บนแผ่นดินเดียวกับที่เรายืนอยู่ ความลี้ลับทางธรรมชาติที่รอการค้นพบ และเรื่องราวของชีวิตที่ไม่มีวันถูกลืม ตอนนี้ถูกรวมมาอยู่ในนิทรรศการ ‘THAINOSAUR’ ณ Museum Pier ท่าพิพิธภัณฑ์

ภายในงานมีการเล่าเรื่องราวผ่าน 3 โซน 3 ชั้น แต่ละชั้นมีการจัดแสดงหุ่นจำลองสัตว์ดึกดำบรรพ์และไดโนเสาร์พันธุ์ไทยหลากหลายชนิด พร้อมสอดแทรกงานศิลปะของ 3 ศิลปินที่มาร่วมจัดแสดงในงาน
เบื้องหลังการเปลี่ยนข้อมูลเป็น ‘โครงกระดูก’ ที่สมจริง !
ถือเป็นนิทรรศการที่ได้รับเสียงตอบรับดีมาก เชื่อว่าเพื่อนๆ น่าจะได้เห็นพา อ่านรีวิวกันไปบ้างแล้ว แต่วันนี้อยากพาไปเจาะลึกอีกหนึ่งส่วนสำคัญคือ ‘โครงกระดูก’ ไดโนเสาร์ ที่ถูกออกแบบด้วยการผสานทั้งวิทยาศาสตร์ และศิลปะ
โดยไม่ใช่การออกแบบตามจินตนาการ แต่มันคือการ “คืนชีวิตให้ข้อมูลที่เหลืออยู่เพียงบางส่วน” ด้วยความร่วมมือระหว่างนักออกแบบ, ทีม 3D Paleo Artist, นักบรรพชีวินวิทยา และนักวิเคราะห์วิจัยอีกหลายภาคส่วน
แต่สำหรับวันนี้ขอพาไปเจาะลึกเบื้องหลังการคืนชีวิตให้เหล่าไดโนเสาร์ จากมุมมองของทีม 3D Paleo Artist ผู้สร้างแบบจำลอง 3 มิติ และปลุกปั้นออกมาเป็นของจริงที่เราได้ชมในงานไปพร้อมๆ กัน !

เริ่มต้นจากความอยากรู้ “ไดโนเสารจริงๆ มีหน้าตายังไง ?” สู่การเป็น 3D Paleo Artist
คุณเมล – เมธัส เจริญจิต หนึ่งในทีม 3D Paleo Artist ผู้ให้ข้อมูลกับเรา เล่าถึงจุดเริ่มต้นกว่าจะได้มาเป็น 3D Paleoartist อาชีพที่คนไทยน้อยคนจะรู้จัก
คุณเมลเติบโตมากับคำถามที่ติดอยู่ในใจว่า “ไดโนเสาร์มีหน้าตาจริง ๆ ยังไง?” ความอยากรู้นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้หลงรักไดโนเสาร์มาตั้งแต่เด็ก นำไปสู่การพัฒนาทั้งด้านทักษะ และความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์

จนในที่สุดก็ได้เป็นหนึ่งในทีม ‘3D Paleo Artist’ อาชีพที่ต้องศึกษาสรีระไดโนเสาร์ตั้งแต่โครงกระดูกจริง กล้ามเนื้อ ไปจนถึงพฤติกรรม เพื่อสร้างแบบจำลอง 3d ที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ผ่านการร่วมงานกับนักวิจัยและนักบรรพชีวิน* (ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์)
หลักสำคัญที่คุณเมลได้ค้นพบจากงานนี้ คือไม่ใช่แค่การปั้นตามจินตนาการ แต่คือการ “คืนชีวิตให้ข้อมูลที่เหลืออยู่เพียงบางส่วน” เป็นการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์ + ศิลปะ ที่ต้องใช้ความอดทนในการตามหาความจริง

งานนี้ต้อง ‘ซื่อสัตย์ต่อข้อมูล’ แม้จะทำให้โมเดลออกมาไม่ดุดัน หรือน่าตื่นตาเท่าที่คนดูอยากเห็น เพราะหน้าที่ของ 3D Paleo Artist คือ
“ฟื้นชีวิตให้ข้อมูล ไม่ใช่แต่งเรื่องใหม่”
แน่นอนว่ากว่าจะปั้นแต่ละตัวออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางชิ้นต้องแก้งานไม่ต่ำกว่า 20 รอบ แต่ก็เป็นงานที่มอบความสุขผ่านการได้ฟื้นชีวิตสิ่งที่สูญพันธุ์ให้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบดิจิทัล
ด้วยความหลงใหลจากวัยเด็ก จนมาถึงการได้เรียนรู้จากเพื่อน และรุ่นพี่มากมาย ที่ทำให้พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยความขยันและวินัย สำหรับใครที่อยากก้าวเข้ามาสายนี้ ต้องเตรียมใจ เตรียมความรู้ให้พร้อม แล้วลุยได้เลย

เบื้องหลังโครงกระดูกคือการผสานศาสตร์ ‘วิทย์ + ศิลป์’
ในงานที่ต้องใช้ความรู้ และทักษะมากมายย่อมต้องมีทีมงานเข้ามาเกี่ยวข้องหลายภาคส่วน และต้องทำงานเชื่อมโยงกัน หากมีข้อมูลใหม่ๆ อัปเดต แน่นอนว่า 3d ก็ต้องมีการเปลี่ยนตามไปด้วย ตอนนี้ทีมคุณเมลจึงทำงานกันแบบ ‘สหวิทยาการ’* (การรวมเอาหลายสาขาวิชาทางวิชาการ เข้าเป็นกิจกรรมเดียว เช่นการทำโครงงาน) ประกอบด้วย
1. ทีมวิจัย (Research Team)
รับผิดชอบการศึกษาโครงสร้างไดโนเสาร์จากฟอสซิลจริง รายงานวิชาการ และเปรียบเทียบกับสัตว์ปัจจุบัน เพื่อให้แน่ใจว่าโมเดลที่สร้างมีความถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์มากที่สุด
2. ทีมศิลปิน 3D / โมเดลเลอร์ (3D Modeling Team)
รับบทหลักในการขึ้นรูปโครงกระดูกทั้งหมดในโปรแกรม ZBrush, Blender ฯลฯ ทำงานจากเอกสารวิจัยและคำแนะนำของนักวิจัย เป็นจุดที่ใช้เวลาเยอะมากในการ “ตีความ” กระดูกที่บางครั้งก็ไม่สมบูรณ์


3. ทีมผลิตต้นแบบ (3D Printing & Post-processing)
ดูแลเรื่องการพิมพ์เรซิ่น ความละเอียด แกะซัพพอร์ต ทำความสะอาด และการประกอบโมเดลให้แข็งแรงสวยงาม
4. ทีมลงสี / เทคนิค (Painting & Finishing)
รับผิดชอบด้านพื้นผิว สี และเท็กซ์เจอร์ของกระดูกให้ดูสมจริง บางครั้งต้องทำสีให้คล้ายของจริงในพิพิธภัณฑ์ หรือแบบ stylized เพื่อจัดแสดง


5. ทีมจัดแสดง / จัดวาง (Display Team)
หากโครงการเป็นแบบจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์หรือโรงเรียน จะมีทีมที่ดูแลเรื่องโครงสร้างฐาน จัดองค์ประกอบให้เหมาะกับพื้นที่

6 ขั้นตอนเปลี่ยน ‘ฟอสซิล’ สู่โครงกระดูกไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์
หลังจากได้ทำความรู้จักทีมต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการทั้งหมดไปแล้ว ลองมาดูขั้นตอนในการทำงานกันบ้าง โดยแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน
Part 1: Research & Reconstruction (งานวิจัยและตีความโครงสร้าง)
- เริ่มจากการศึกษาฟอสซิลจริงที่ค้นพบในพื้นที่ เช่น ขากรรไกร ชิ้นส่วนกระดูกสันหลัง หรือขา
- จากนั้นนักวิจัยจะวิเคราะห์ลักษณะทางกายวิภาค เปรียบเทียบกับญาติใกล้เคียงทางวิวัฒนาการ เช่น นกหรือจระเข้ เพื่อเติมส่วนที่หายไป
บางสายพันธุ์กระดูกหายไปเกิน 50% จึงต้องอาศัยทั้งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการตีความอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้โครงกระดูกที่ “แม่นยำเท่าที่วิทยาศาสตร์จะพาไปได้ในปัจจุบัน”
Part 2: Digital Sculpting (ขึ้นโครงกระดูกแบบ 3D)
ศิลปินดิจิทัลจะขึ้นโมเดลกระดูกแต่ละชิ้นในโปรแกรม 3D เช่น ZBrush หรือ Blender โดยยึดตามโครงสร้างวิจัย เพื่อให้แต่ละชิ้นสัมพันธ์กันทั้งทางกายวิภาคและโครงสร้างจริง เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ทั้งความรู้ด้านศิลปะ การปั้นกระดูก และความเข้าใจทางชีววิทยาเชิงลึก ทุกกระดูกต้อง “มีที่มา” ไม่ใช่แค่ดูสวย

Part 3: Scaling & Engineering (ขยายเป็นขนาดเท่าจริง + ออกแบบโครงสร้างภายใน)
เมื่อได้โมเดลดิจิทัลที่แม่นยำแล้วจะนำไปขยายสเกลให้เท่าขนาดจริง (1:1) โดยคำนวณตามข้อมูลความยาวที่มี เช่น จากกระดูกต้นขาหรือกะโหลก จากนั้นจะแยกโมเดลออกเป็นส่วน ๆ เพื่อ
- ให้สามารถพิมพ์/ขึ้นรูปได้
- วางโครงเหล็กหรือแกนรองรับ
- ขนส่งสะดวกและประกอบได้หน้างาน Part 4: 3D Printing & Moldmaking (พิมพ์ชิ้นส่วนหรือหล่อแบบ)
- หากขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้ 3D Printer เรซิ่นหรือ FDM พิมพ์ชิ้นส่วนโดยตรง
- หากชิ้นงานใหญ่เกินเครื่องพิมพ์ จะใช้วิธีสร้าง แม่พิมพ์ (mold) แล้วหล่อด้วยวัสดุเบาแต่แข็งแรง เช่น ไฟเบอร์กลาสหรือเรซิ่นผสม
Part 5: Painting & Finishing (ลงสีและตกแต่งพื้นผิว)
หลังจากประกอบจะเก็บรายละเอียดพื้นผิว ขัดรอยต่อ และลงสีเพื่อให้ใกล้เคียง “โครงกระดูกฟอสซิลจริง” ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ โดยสีที่ใช้จะอิงจากโทนหินที่พบ เช่น สีทราย สีเทาเข้ม สีน้ำตาลเข้ม

Part 6: Installation & Display (การติดตั้งเพื่อจัดแสดง)
สุดท้าย ทีมจัดแสดงจะนำโครงกระดูกไปประกอบเข้ากับฐานที่ออกแบบไว้ บางส่วนอาจติดโครงเหล็กโปร่งเพื่อยึดท่าทาง การจัดแสดงจะเน้นให้ผู้ชมเข้าใจ ขนาดจริง, โครงสร้างจริง, และ อิริยาบถที่มีหลักฐานรองรับ
ด้วยความหลงใหลต่อไดโนเสาร์ตั้งแต่วัยเด็กของคุณเมล จนได้มาทำงานจริง ย่อมต้องมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง !
การคืนชีพไดโนเสาร์ที่ชอบที่สุด
คำตอบของคุณเมลคือ ‘Siamosaurus’ เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ค้นพบในไทย โดดเด่นด้วยกระโดงหลัง ความท้าทายคือฟอสซิลที่พบมีแค่ฟัน ทำให้ต้องใช้ข้อมูลจำกัดมาตีความและสร้างใหม่ทั้งตัว
Siamosaurus จึงกลายเป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ที่ทำให้ได้เรียนรู้เยอะมาก และเปิดโอกาสให้ได้ทำงานกับทีมผู้เชี่ยวชาญจนเข้าใจสัตว์ในวงศ์นี้ลึกขึ้น

การคืนชีพไดโนเสาร์ที่ท้าทายที่สุด
คุณเมลเลือกการคืนชีพที่ยากที่สุดเป็น ‘Garudapetarus’ เทอโรซอร์ตัวแรกที่ปั้นในชีวิต เพราะการทำปีกให้สวยสมจริงเป็นโจทย์ที่ยากมาก โดยเฉพาะการจัดท่ายืนที่ต้องพับปีกให้ถูกต้องตามโครงสร้าง และยังต้องเก็บดีเทลให้สมจริงที่สุด

โปรเจกต์ถัดไป
คุณเมลแอบสปอยล์ว่า เตรียมไปออกบูธงานแสดงโมเดลทั้งที่ไทย ญี่ปุ่น และเซี่ยงไฮ้ โดยมีไฮไลต์คือ โมเดลโครงกระดูก Spinosaurus จาก Jurassic Park 3 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จะปั้นโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่อิงจากภาพยนตร์ !
พร้อมเปิดตัว Resin Kit ขนาด 1/20 และ 1/35 ให้แฟน ๆ สั่งพรีออเดอร์ รวมถึงนำโมเดลกระดูกบางส่วนไปโชว์และจำหน่ายในงาน มารอติดตามไปพร้อมกัน เอาไว้มีข่าวคืบหน้าเมื่อไหร่ทาง art of จะมาอัปเดตให้นะ !


