72Views
เรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์อายุ 18 ที่กลายเป็นเศรษฐี(แบบบังเอิญ)จากการคิดค้นสีย้อมผ้า ‘สีม่วง Mauve’
ในโลกของสีสันที่เราสามารถเห็นด้วยตาอาจมีมากมายเป็นร้อยพันเฉด ทว่าในอดีตใช่ว่าเราจะสามารถถ่ายทอดทุกสีที่เห็นออกมาได้ ด้วยข้อจำกัดที่ว่าสีที่สกัดจากธรรมชาตินั้นแสนจะจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีโทน ฟ้า-ม่วง เป็นโทนสีที่มีน้อยในธรรมชาติ และแม้ว่าจะมีดอกไม้บางชนิดที่มีสีนั้น ก็ใช่ว่าจะสามารถสกัดมาทำเป็นสีวาดภาพหรือย้อมผ้าได้เข้มข้นเท่าตอนที่เป็นดอกไม้
ตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล สีม่วงถูกจัดเป็นสีที่มีค่าควรเมืองเพราะความหายาก จะถูกสวมใส่โดยเชื้อพระวงศ์ระดับกษัตริย์หรือราชินีเท่านั้น แต่ละกรัมมีราคาแพงระยับระดับที่ว่าทองคำยังเทียบไม่ได้
สีม่วงยังถูกสงวนไว้ให้กับชนชั้นสูงต่อมาอีกเป็นพันปีด้วยความจำกัดด้านการผลิต แม้ภายหลังจะสามารถสกัดจากสิ่งอื่นได้ แต่ก็ไม่ได้สดใสเท่าที่สามารถพบเห็นได้ในธรรมชาติ จนกระทั่งวันหนึ่งอุบัติเหตุทางการทดลองได้เปลี่ยนโลกของสีย้อมไปตลอดกาล
ความบังเอิญเป็นเหตุ
ในปี ค.ศ. 1856 เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี William Henry Perkin ผู้เป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัยคิดค้นหายาควินิน ยารักษาโรคมาลาเรีย ได้ผลลัพธ์การทดลองไม่เป็นไปตามที่หวัง สารเคมีในหลอดทดลองออกมาหน้าตาไม่ใกล้เคียงกับควินินสักนิด
ทว่าเมื่อทำการเก็บล้างด้วยการใช้แอลกอฮอลล์กลับพบว่าสารเคมีเปลี่ยนเป็นสีม่วงสด!
ใช่ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นสีม่วงเฉดนี้มาก่อน แต่ว่ายังไม่เคยมีใครทำสีม่วงโทนนี้ออกมาเป็นสีย้อมได้ เพอร์กินเอาสีนี้ไปทดลองต่อเพื่อทำให้สีเสถียรเหมาะแก่การใช้ในอุตสาหกรรมก่อนจะจดสิทธิบัตร ตั้งชื่อให้มันว่า ‘Mauve’
เขาตัดสินใจพัฒนาสีม่วง Mauve ให้กลายเป็นสีอุตสาหกรรมย้อมผ้า นำเสนอสีม่วงที่สดใสกว่าที่เคยแก่วงการแฟชั่น โดดเด่นเตะตาสาวๆ ไปทั่วยุโรป และด้วยราคาที่จับต้องได้ ทำให้โรงงานสีย้อมของเขาได้รับความนิยมอย่างมาก เพอร์กินจัดเป็นหนึ่งในนักเคมีหัวหอกผู้พัฒนาสีใหม่ต่างๆ อีกหลายสี
และแล้วโลกก็ก้าวจากยุคที่ใช้สีสกัดจากธรรมชาติเท่านั้น มาเป็นยุคของสีเคมีที่สดใสหลากหลายเฉดเท่าที่มนุษย์จะจินตนาการถึงได้