579Views
5 การทดลองที่ท้าทายอนิเมะรูปแบบเดิมใน ‘The Summer Hikaru Died’ เมื่อความสยองขวัญ ผสานงานศิลป์และคณิตศาสตร์
การมาถึงของ The Summer Hikaru Died ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการแอนิเมชันญี่ปุ่น เพราะทีมผู้สร้างเลือกใช้แนวทางแบบ ‘Experimental Approach’ หรืองานสร้างสรรค์เชิงทดลอง ซึ่งแทบไม่เคยเห็นในงานแอนิเมชันกระแสหลัก
ส่งผลให้ความโดดเด่นทั้งด้านเทคนิคการสร้างที่แปลกใหม่ และความกล้าหาญในการถ่ายทอดประเด็นละเอียดอ่อนออกมาอย่างสวยงาม นับเป็นอนิเมะแห่งยุคที่กล้าที่จะพูดเรื่องความหลากหลายได้อย่างสร้างสรรค์
The Summer Hikaru Died เล่าเรื่องของ ‘โยชิกิ’ เด็กหนุ่มในหมู่บ้านชนบทที่ต้องเผชิญความจริงอันน่าหวาดหวั่น เมื่อเพื่อนสนิทของเขาอย่าง ‘ฮิคารุ’ หายตัวไปบนภูเขาและกลับมาในสภาพที่เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ฮิคารุคนเดิมอีกแล้ว
จากความผิดปกติเล็กๆ ที่ค่อยๆ ทวีความน่ากลัว ทำให้โยชิกิเริ่มเปิดผนึกความลับเหนือธรรมชาติที่ปกคลุมหมู่บ้าน ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญความผูกพันอันซับซ้อนต่อ “บางสิ่ง” ที่อยู่ในร่างเพื่อนตัวเอง นำไปสู่เรื่องราวระหว่างมิตรภาพ ความสูญเสีย และความสยองที่แทรกอยู่ในทุกลมหายใจของฤดูร้อนนั้น
สำหรับใครที่ได้ชมแอนิเมชันแล้วคงสัมผัสได้ว่า นอกจากงานภาพที่ว่าสวยแล้ว แอนิเมชันเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วยสัญญะซ่อนเร้นที่มาพร้อมกับประเด็นทางสังคมที่ถูกสื่อสารอย่างแนบเนียน

วันนี้ Art of เลยอยากชวนทุกคนมาค้นหาสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ผ่าน 5 การทดลองสิ่งใหม่ๆใน The Summer Hikaru Died ตั้งแต่สัญญะที่แทรกอยู่ในเรื่อง ไปจนถึงเทคนิคการต่อยอดจากมังงะสู่งานแอนิเมชันจากทีมสร้างแอนิเมชันเรื่องนี้ไปด้วยกัน !
1. ทดลองใช้ความสัมพันธ์คลุมเครือ เพื่อนำเสนอประเด็น ‘เควียร์’ และการกดทับตัวตน
The Summer Hikaru Died ใช้แนวคิดเรื่องราวสยองขวัญเป็นฉากหน้า แต่สิ่งที่ทำให้คนดูเข้าถึงเนื้อเรื่องได้มากที่สุดคือการใช้ ความสัมพันธ์พิเศษ ระหว่างสองตัวละครอย่าง ‘โยชิกิ’ และ ‘ฮิคารุ’ แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้แตกต่างจากอนิเมะแนว Boy Love เรื่องอื่นๆคือการเลือกโฟกัสไปที่ความอ่อนไหวและความเปราะบางของตัวละครจนเราสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง

โยชิกิเองเริ่มมีความรู้สึกพิเศษต่อฮิคารุ แต่กลับปฏิเสธมันอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับอาการของผู้ที่มีภาวะ ‘Internalized Homophobia’ ซึ่งคือภาวะที่คนรักเพศเดียวกันปฏิเสธหรือกดทับตัวตนตัวเอง จากอิทธิพลทัศนคติด้านลบของสังคมต่อความหลากหลายทางเพศ
ชนบทที่โยชิกิเติบโตเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหว คับแคบ ข่าวลือที่รู้กันแบบปากต่อปาก และสายตาผู้คนที่เฝ้าจับจ้องเขาตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวและใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่เสมอ

หากจะนิยามว่าอนิเมะเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของเกย์ ผ่านรสนิยมของโยชิกิก็ย่อมได้ แต่เมื่อความสัมพันธ์ของตัวละครถูกเล่าอย่างคลุมเครือ ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ความรู้สึกจริง ๆ ของโยชิกิที่ว่าเขาได้ตกหลุมรัก “สัตว์ประหลาด” ตัวนี้ ซึ่งไม่ใช่ในฐานะตัวตนของฮิคารุคนเดิม
ความคลุมเครือนี้ทำให้อนิเมะเรื่องนี้เหมาะกับการถูกนิยามว่า เป็นการนำเสนอเรื่องของ “เควียร์” เสียมากกว่า ซึ่งเป็นคำจำกัดความที่ครอบคลุมความหลากหลายทางเพศสภาพและความสัมพันธ์ที่ไม่จำกัดอยู่ในกรอบดั้งเดิม
2. ทดลองใช้พื้นที่สภาพแวดล้อมชนบท สะท้อนแนวคิด ‘Cosmic Horror’
สภาพแวดล้อมชนบทในเรื่องถูกทำหน้าที่เหมือน “ตัวร้าย” ที่สะท้อนชุดความคิดที่ว่าสังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมอนุรักษ์นิยม อย่างความหวาดกลัวต่ออำนาจของเทพเจ้าภายในเรื่องที่เห็นได้ชัด จึงเปรียบได้กับการไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ซึ่งความจริง อาจเป็นเพียงภาพที่ผู้คนสร้างขึ้นและนึกกลัวไปเองเสียมากกว่า

ตัวตนของโยชิกิและฮิคารุจึงกลายเป็นภาพแทนของคนรุ่นใหม่ที่ต้องเผชิญโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในเรื่องมุมมองชุดเดิมที่มีต่อเรื่องเพศ จนเหมือนกับได้ทิ้งคำถามสำคัญให้พวกเราไว้ว่า
“ในสังคมทุกวันนี้
เราสามารถเป็นตัวเองได้โดยไม่ถูกตัดสิน
จากสายตาคนรอบข้างแล้วหรือยัง ?”
ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้ กลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ถูกปลูกฝังมาผ่านความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา โดยเฉพาะในเรื่องเทพเจ้า ซึ่งเป็นรูปแบบความเชื่อที่พบได้ทั่วโลก และมักถูกหยิบมาใช้ในการเล่าเรื่องผ่านงานศิลปะอยู่เสมอ
แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า ‘Cosmic Horror’ แนวคิดที่มองว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ และความกลัวส่วนใหญ่เกิดจากความไม่รู้และความทะนงของตัวมนุษย์เอง

แนวคิดดังกล่าวยังสะท้อนผ่านตัวสัตว์ประหลาดในตัวฮิคารุคนใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งทีมงานยังบอกอีกว่าสิ่งเหล่านี้พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานของอาจารย์ ‘Junji Ito’ ด้วย
หากสังเกตง่ายๆ จุดเด่นของงาน Cosmic Horror จะเล่าเรื่องผ่านความสยอง ลึกลับ รวมทั้งใช้เรื่องของ Body Horror มาเป็นส่วนหนึ่งของงาน และจะมีกลิ่นอายของงานไซไฟอยู่ด้วย
3. ทดลองเล่าเรื่องด้วยขนบ J-Horror เพื่อสร้างความหลอนตอนกลางวันใน ‘ฤดูร้อน’
หากเราพูดถึงหนังสยองขวัญ ฝั่งฮอลลีวูดที่มักใช้ปีศาจซาตานเป็นตัวดำเนินเรื่อง แต่หนังสยองขวัญฝั่งเอเชียกลับหยิบตำนานเรื่องเล่าพื้นบ้านและความเชื่อทางศาสนามาใช้แทน โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งมีลัทธิชินโตเป็นรากของเรื่องเล่ามากมายที่มองผีและสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นสาเหตุของโรคระบาดหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความเชื่อแบบเดียวกันนี้ยังปรากฏอยู่ใน The Summer Hikaru Died เช่นกัน

ทำให้เกิดนิยามของความเป็น ‘Japanese Horror Film’ ที่เริ่มเป็นที่รู้จักราวยุค 1990s ซึ่งเป็นช่วงที่หนังผีญี่ปุ่นได้รับความนิยมอย่างมาก โดยภาพจำสำคัญคือบรรยากาศมืดชื้น ผีหน้าขาวในชุดขาว เลือดสีแดงดิบที่เพียงแค่จินตนาการตามก็ชวนให้รู้สึกขนหัวลุกแล้ว

จุดเด่นของ J-Horror คือการสร้างความหลอนผ่านบรรยากาศและงานภาพ มากกว่าการใช้จัมป์สแกร์ ทำให้จังหวะการดำเนินเรื่องอาจช้าลงไปบ้าง แต่ช่วยให้ผู้ชมจมอยู่กับความหลอนได้มากขึ้น
แม้จะมีแนวทางมาจาก J-Horror แต่สิ่งที่ทำให้อนิเมะเรื่องนี้โดดเด่นคือคอนเซ็ปต์ที่เลือกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในช่วง ‘ฤดูร้อน’ นำเสนอฉากสยองขวัญในบริบทอันสว่างจ้าแบบเดียวกับในภาพยนตร์ ‘Midsommar’ ของ A24
ด้วยบรรยากาศในตอนกลางวัน เงามืเข้ม Contrast กับเสียงจั๊กจั่นชวนหลอน สามารถสร้างความแตกต่างได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัวความสยองที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแบบเวลากลางคืน แต่เห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
4. ทดลองใช้สีน้ำเงินเป็นโทนหลัก เพื่อถ่ายทอด POV และความโดดเดี่ยวของโยชิกิ
แม้ The Summer Hikaru Died จะเล่าเรื่องในฤดูร้อน แต่ผู้ชมกลับรับรู้ถึงบรรยากาศอึมครึมตลอดทั้งเรื่อง นั่นเป็นเพราะคุณ Ryohei Takeshita หัวหน้าผู้ควบคุมการผลิตและทำหน้าที่ผู้กำกับด้วย ตั้งใจให้ภาพทั้งหมดถูกเล่าผ่านมุมมองของโยชิกิเพียงคนเดียว เพื่อให้เราได้สัมผัสประสบการณ์ฤดูร้อนในแบบที่โยชิกิกำลังเผชิญอยู่โดยตรง

สังเกตได้จากงานภาพที่ถ่ายทอดชนบทพร้อมแทรกค่าสีน้ำเงินไว้เสมอ ทำให้แม้จะเป็นหน้าร้อน บรรยากาศกลับเย็นเยียบราวกับมีบางอย่างกดทับอยู่ สีน้ำเงินยังช่วยเสริมธีม Coming of Age และรักษาโทนสยองขวัญให้ดำเนินไปพร้อมกันอย่างกลมกลืน

เทคนิคการใช้สีเพื่อเล่ามุมมองฤดูร้อนของโยชิกิไม่ได้มีเฉพาะในอนิเมะ แต่ยังปรากฏบนหน้าปกฉบับมังงะด้วย โดยการไล่เฉดสีให้คล้ายท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากฟ้าสดใสไปสู่ความมืดของยามค่ำคืน ทำหน้าที่สื่อว่าเรื่องราวกำลังก้าวลึกเข้าสู่ความลึกลับมากขึ้นทุกเล่ม

กิมมิกเล็กๆ นี้ทำให้ผู้อ่านตั้งตารอฉบับใหม่อยู่เสมอ เพราะโทนสีของท้องฟ้าบนปกแต่ละเล่มยังสะท้อนบรรยากาศโดยรวมของเนื้อหาในเล่มนั้นด้วย
5. ทดลองใช้หลักคณิตศาสตร์ เพื่อออกแบบลวดลายสัตว์ประหลาดให้มีชีวิต
การออกแบบลักษณะของสัตว์ประหลาดฮิคารุเป็นขั้นตอนที่ทีมงานต้องหารือกันอย่างหนัก เพราะต้องการความร่วมมือกันทั้งจากทีมภาพประกอบฉาก ทีม 3D และทีมออกแบบ 2D โดยมี Yusuke Nagara หัวหน้าผู้สร้างสรรค์แอนิเมชัน 2 มิติเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

เขาตั้งใจที่จะออกแบบลวดลายของสัตว์ประหลาดฮิคารุโดยอ้างอิงจากมังงะให้ได้มากที่สุด โดยใช้แพทเทิร์นที่เรียกว่า ‘Fractal Noise’ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านคณิตศาสตร์ในการสร้างลวดลายที่สลับซับซ้อนขึ้นมาโดยที่ยังต้องคงมีชีวิตชีวาด้วย
ทีมงานจึงต้องสร้างและพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะใช้สำหรับการสร้างแพทเทิร์นนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อเข้ามาช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของลวดลาย อาศัยการคีย์ข้อมูลชุดคำสั่งด้วยตัวเลขเพื่อให้สามารถปรับรูปแบบได้ตามต้องการ ซึ่งช่วยให้ลวดลายดูสมจริงและทำให้แอนิเมชันมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด

