Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

ท่องประวัติศาสตร์ความงาม ผ่าน 6 สตรีผู้เป็นตำนานแห่งโลกศิลปะ

ชวนผู้อ่านออกเดินทางย้อนเวลาไปสัมผัส ‘ความงาม’ ผ่าน 6 สตรีระดับตำนานจากหลากหลายอารยธรรม ผู้ซึ่งความงาม ความคิด และอิทธิพล ได้หล่อหลอมหน้าประวัติศาสตร์ศิลปะของโลกไว้อย่างตราตรึง

ตั้งแต่ราชินีแห่งอียิปต์โบราณผู้ทรงเสน่ห์เหนือกาลเวลา ไปจนถึงสตรีในยุคกลางที่สะท้อนศรัทธาและอำนาจทางศาสนา ต่อเนื่องสู่สตรีในยุคใหม่ที่ผสานเสรีภาพทางความคิดเข้ากับนิยามความงามที่หลากหลายยิ่งกว่าเดิม

UOB Art Around ชวนมาร่วมสำรวจพัฒนาการของ ‘ความงาม’ และ ‘บทบาทสตรี’ จากสัญลักษณ์แห่งอุดมคติ สู่การเป็นตัวแทนแห่งอิสรภาพ ความกล้าแสดงออก และพลังสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนศิลปะข้ามยุคสมัย

___

Queen Nefertiti — Ancient Egypt

หากกล่าวถึงสตรีที่เป็นตัวแทนความงามในยุคอียิปต์โบราณ หนึ่งในชื่อที่หลายคนนึกถึงคือ ‘ราชินีเนเฟอร์ติติ’ ราชินีของฟาโรห์อเคนาเทน ผู้มีชีวิตอยู่ราว 1370 ปีก่อนคริสตกาล

รูปสลักหินปูนเขียนสี แสดงโครงหน้าเรียว เด่นด้วยโหนกแก้มและสันกราม จมูกโด่ง ดวงตาเรียวยาว เสริมด้วยการเขียนคิ้วและขอบตายาว หรือ ‘โคห์ล’ ซึ่งเป็นรสนิยมของชนชั้นสูง พระรูปสมมาตร สง่างาม และแสดงลักษณะที่สมจริงอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น คอยาวระหง สายตาสงบนิ่ง และผิวสีแทนน้ำผึ้ง

รวมถึงมงกุฎสีน้ำเงินทรงสูง ประดับ ‘งูเห่าอูเรอุส’ แทนพระราชอำนาจจากเทพเจ้า ซึ่งปัจจุบันหักหายไป และสร้อยคอที่ทำจากอัญมณีมีค่าและหินสีนำเข้าจากตะวันออกกลาง แสดงถึงรสนิยมของพระราชวงศ์อียิปต์

ความเป็นปัจเจกในฐานะ ‘รูปเหมือน’ ของราชินี ต่างจากศิลปะอียิปต์ในยุคอื่นที่เน้นความสมบูรณ์แบบและสัญลักษณ์เชิงอำนาจเพียงอย่างเดียว รูปสลักนี้กลายเป็นตัวแทนอุดมคติความงามและอำนาจของศิลปะอียิปต์ในสมัยอามาร์นา

___

Virgin Mary — Medieval Europe

ยุคกลางของยุโรปเป็นช่วงเวลารุ่งเรืองของศาสนาคริสต์ สตรีที่โดดเด่นที่สุดในโลกศิลปะและศาสนาคงหนีไม่พ้น ‘พระแม่มารีย์’ พระนางพรหมจารี ผู้เป็นมารดาของพระเยซู ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดผลงานศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรมมากมายในยุคกลาง

หนึ่งในผลงานสำคัญคือ ‘ฉากพับวิลทัน’ วาดขึ้นราวปี 1395 เทคนิคการเขียนสีฝุ่นเทมเพอราบนแผ่นไม้โอ๊ค เชื่อมต่อกันด้วยบานพับเพื่อให้ปิดเปิดได้ แผงซ้ายแสดงกษัตริย์ริชาร์ดที่ 2 นักบุญจอห์นผู้ให้บัพติศมา นักบุญเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ และนักบุญเอ็ดมันด์ผู้พลีชีพ

แผงขวาแสดง ‘พระแม่มารีย์และพระบุตร’ ท่ามกลางเหล่าเทวดาในอาภรณ์สีน้ำเงินสดประดับด้วยทอง สีน้ำเงินในยุคนั้นมีราคาสูงเท่าทองคำ ภาพนี้จึงใช้สีในการแสดงสถานะที่สูงส่งของพระมารดาและบริวาร แสดงถึงความนิ่งสงบและสูงศักดิ์

พระนางมีผิวซีดขาว ใบหน้ารูปไข่เรียวยาว ผมบลอนด์ทองยาวเป็นลอน สรีระสูงระหง นิ้วมือเรียวยาว เป็นตัวแทนของความงามของความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในอุดมคติ

ผลงานนี้จึงเป็นตัวแทนของ ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์’ ที่ศิลปินยุคกลางถ่ายทอดด้วยความประณีตและศรัทธา

___

Madame de Pompadour — French Rococo

‘มาดาม เดอ ปงปาดูร์’ ถือเป็นสตรีทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในราชสำนักฝรั่งเศส เธอดำรงตำแหน่งพระสนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ตั้งแต่ 1745–1751 และในฐานะ ‘คนโปรดแห่งราชสำนัก’

ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาหนึ่งนำเสนอผลงานของเธอในฐานะผู้หญิงที่หลงใหลในความฟุ้งเฟ้อ ความหรูหรา และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยไร้ความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง แต่ในความเป็นจริง เธอรับผิดชอบในด้านพระราชกรณียกิจและเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ ทั้งในด้านการเมืองและการต่างประเทศ มีบทบาทในการเจรจาซึ่งนำไปสู่สนธิสัญญาแห่งแวร์ซาย (Treaty of Versailles) ซึ่งมีผลกระทบสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์ยุโรป และยังคงมีอิทธิพลในฐานะคนโปรดในราชสำนักจนกระทั่งเสียชีวิต

ภาพเหมือนของ มาดาม เดอ ปงปาดูร์ นำเสนอสตรีผิวพรรณขาวละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสดใส แก้มอมชมพูระเรื่อ และริมฝีปากอิ่มเอิบ ผมสีบลอนด์อ่อนประดับด้วยดอกไม้ ในชุดกระโปรงกว้างฟูประดับลูกไม้สีพาสเทลอ่อนหวาน รัดช่วงเอวด้วยคอร์เชต สวมรองเท้าส้นสูง

ทั้งหมดสะท้อนความงาม อุดมคติแฟชั่น และรสนิยมสูงส่งของยุคโรโคโคในราชสำนักฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่งอิทธิพลให้สตรีชั้นสูงทั้งยุโรป เธอเป็นทั้งผู้นำแฟชั่น ความงามที่ควบคู่กับความรู้ ปัญญา และมารยาทสังคม

___

Woman in Characters — Victorian Era

กลุ่มศิลปินที่เป็นตัวแทนของยุควิกตอเรียนอันรุ่งเรืองของอังกฤษ และนำเสนอความงามของสตรีในอุดมคติได้ดีที่สุด ต้องเป็น ‘ภราดรภาพพรีราฟาเอลไลต์’ ผู้มีแนวคิดต่อต้านการวาดผลงานตามแบบแผนเดิมๆ ของสถาบันศิลปะ เน้นการนำเสนอผลงานที่มีรายละเอียดสมจริงตามธรรมชาติ องค์ประกอบซับซ้อน และสีสันหลากหลาย

ยกตัวอย่างเช่น ‘พอร์เซฟินา (Proserpine)’ ของดานเต เกเบีรยล รอสเซตติ เธอมีสายตาสะท้อนความโหยหาชีวิตอิสระ ใบหน้าแสดงความมุ่งมั่นแรงกล้า ผลงานนี้แสดงให้เห็นถึงสตรีในฐานะ ‘ปัจเจกบุคคล’ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ แต่ถ่ายทอดออกมาราวกับเธอมีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจจริงๆ

ลักษณะของการวาดแบบนี้ยังปรากฎในอีกหลายผลงาน ไม่ว่าจะเป็น ‘สตรีแห่งชาลอตต์ (The Lady of Shalott)’ หญิงต้องคำสาปที่ทนทุกข์กับความโดดเดี่ยว, ‘แม่มดเซอร์ชี (Circe)’ ที่ทรงภูมิปัญญาและพลังอำนาจ ของจอห์น วิลเลียม วอเตอร์เฮาส์, ‘โอฟิเลีย (Ophelia)’ ของจอห์น เอวเวอเรตต์ มิลเลส์ ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแต่เลื่อนลอยสิ้นหวัง สตรีเหล่านี้ล้วนถูกตีความออกมาอย่างลึกซึ้ง แสดงอารมณ์ออกมาอย่างปุถุชน

แนวทางของศิลปินกลุ่มพรีราฟาเอลไลต์ที่เชื่อในการวาดผลงานโดยมีแบบจากบุคคลจริงๆ สรรหานางแบบที่ตรงกับภาพที่ศิลปินต้องการถ่ายทอด ผนวกกับความแม่นยำในรายละเอียด ทั้งเสื้อผ้า ฉากหลัง และบรรยากาศ ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นความงามตามแบบวิกตอเรียนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งและอารมณ์ซับซ้อน

___

Woman in Gold — Art Nouveau

หนึ่งในศิลปินสำคัญของศิลปะสาย อาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่นำเสนอความงามแบบใหม่ เน้นเสรีภาพแห่งการสร้างสรรค์ และหยิบแรงบันดาลใจจากธรรมชาติมาเป็นหัวใจของศิลปะ คือ กุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt) ผู้ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวช่างทอง ท่ามกลางบรรยากาศของการทำงานฝีมือ และแรงบันดาลใจจากศิลปะโมเสกในยุคไบแซนไทน์ สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยพื้นหลังสีทองที่มลังเมลือง จากการใช้ ‘แผ่นทองคำเปลว (Gold Leaves)’ ปิดลงบนผืนผลงาน จากสีทองที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นความงามและหรูหราของโลกสมัยใหม่ และกลายเป็นจุดเด่นของคลิมต์

ผลงานสำคัญอย่าง ‘Portrait of Adele Bloch-Bauer I’ นำเสนอสตรีบนพื้นหลังสีทองอร่าม ผิวขาวซีด เขียนคิ้วคม แก้มสีชมพูระเรื่อ และริมฝีปากสีแดงสด สายตาที่เย้ายวน ทรงผมสมัยใหม่ และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ค่อยๆ หลอมรวมไปกับพื้นหลัง ทำให้ผลงานนี้ได้รับฉายา ‘โมนาลิซ่าแห่งเวียนนา (Mona Lisa of Vienna)’ ผ่านเทคนิคและฝีแปรงของคลิมต์

คลิมต์นำตัวละครในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมมาตีความใหม่ จากผู้กล้าสู่สตรีที่แสดงความเย้ายวนลึกลับ อันตราย และมีอำนาจเหนือชาย สีทองทำให้ตัวละครดูหลุดออกมาจากโลกศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือจริง งานของคลิมต์จึงถือได้ว่าเป็นผืนผลงานสีทองที่สะท้อนความงามของสตรี และเสรีภาพทางศิลปะของยุคสมัยได้อย่างสง่างาม

___

La Femme Moderne — Art Deco

ศิลปินหญิงชาวโปแลนด์ คนสำคัญอย่าง ‘ทามารา เดอ เล็มพิกา (Tamara de Łempicka)’ ลี้ภัยการปฏิวัติรัสเซียไปพำนักอยู่ในปารีส ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสมัยใหม่ในฝรั่งเศส อย่าง ‘คิวบิสม์ (Cubism)’ ที่แสดงรูปทรงศิลปะในลักษณะผันแปรความจริง เป็นเหลี่ยมมุมแบบเรขาคณิต และความงามในอุดมคติแบบ ‘นีโอคลาสสิก (Neoclassicism)’ จากการจัดองค์ประกอบผลงานที่สวยงามสมดุล เหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอในการสร้างสรรค์ผลงานตามแนวทางของเธอเอง

ทามารานำเสนอผลงาน ‘ผู้หญิงยุคใหม่ (La Femme Moderne)’ ซึ่งฉีกไปจากสตรีในขนบดั้งเดิมที่ต้องอ่อนน้อมเรียบร้อย ไม่ใช่แค่แม่หรือภรรยา แต่พวกเธอแสดงบุคลิกของตนอย่างมั่นใจ

ผลงานที่โดดเด่นก็คือภาพวาดตนเองของทามารา ‘Tamara in the Green Bugatti’ เธอมองตรงมาที่ผู้ชมราวกับดาราสาวจอมหยิ่งบนรถเปิดประทุนสุดหรู สะท้อนความมีรสนิยม หัวก้าวหน้า และไม่สนใจความคิดเห็นของผู้คนรอบตัว

ผลงานของเธอมักถ่ายทอดผู้หญิงที่มีแววตาทรงพลัง เรือนร่างอวบแน่นและโค้งเว้า กล้ามเนื้อถูกวาดด้วยโทนแสงเงาคมชัด สวยใส่เสื้อผ้าร่วมสมัยในยุค 1920s เช่น ชุดรัดรูป ผ้าคลุม เฟอร์โคต หรือหมวกสไตล์เฟลปเปอร์ ริ้วผ้าจับจีบเฉียบคมแบบเรขาคณิต

งานของเธอยังไม่ปิดบังความเย้ายวน ไม่ใช่ในฐานะวัตถุ แต่เป็นการยืนยันสิทธิ์ในร่างกายและความงามของผู้หญิงเอง ผลงานของเธอจึงเสมือนการประกาศว่า ผู้หญิงสามารถที่จะแสดงตัวตนและความปรารถนาของตัวเองออกมาได้

___

อยากอ่านเรื่องอาร์ตแบบเต็มอิ่ม สามารถตามไปที่ UOB Art Around ใน Facebook หรือ Website นี้ได้เลย !

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save