67Views

ส่องตัวละครผู้เชื่อมโลกความเป็น-ความตาย ! จากตำนานผู้นำทางวิญญาณสู่ Joker ใน Alice in Borderland
ใช้เวลาเฝ้ารอถึง 2 ปี 9 เดือน กว่าแฟนๆ ซีรีส์ ‘Alice in Borderland’ ถึงจะรู้ว่าการ์ดโจ๊กเกอร์ (Joker) ที่เห็นกันในตอนจบของซีซั่น 2 นั้นหมายถึงอะไร และจะนำพา ‘อะริสุ’ ไปเจอกับเรื่องราวในดินแดนมรณะแบบไหน ?
⚠️ เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องซีรีส์โดยตรง แต่อาจมีสปอยล์เล็กน้อย
ในซีซั่น 3 เราก็ได้รับชมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนระหว่างความเป็นและความตาย ในเกมของโจ๊กเกอร์กันอย่างจุใจ เราได้พบกับชายลึกลับคนหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่หลังอะริสุเคลียร์เกมได้สำเร็จ ชายคนนี้ดูทรงพลังเก่งกล้าสามารถ เป็นผู้ที่หยุดพายุและกระแสน้ำเชี่ยว เมื่อถูกถามว่าเขาคือโจ๊กเกอร์หรือไม่ ? ก็ได้คำตอบว่า “โจ๊กเกอร์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งที่ปกครองโลกนี้ และไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมเกม มันก็เป็นเพียงไพ่หนึ่งใบเท่านั้น”

สอดคล้องกันกับความเชื่อที่ว่ามีดินแดนระหว่าง ‘ความเป็น – ความตาย’ โดยมีสิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างโลก 2 ใบ ความเชื่อนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ใดที่หนึ่ง แต่เกิดขึ้นในตำนานทั่วทั้งโลก แต่ละพื้นที่ต่างก็มีคาแรคเตอร์ที่มีลักษณะหน้าที่ต่างกันออกไปตามภาษาและวัฒนธรรม แต่มีจุดร่วมคือตัวลครเหล่านี้เป็นผู้ที่อยู่ในดินแดนกึ่งกลางระหว่างชีวิตและความตาย
หากใครได้ลองทำความรู้จักตัวละครที่กำลังจะเล่าถึง คงพอจะเห็นความเชื่อมโยงของ ‘โจ๊กเกอร์’ จาก Alice in Borderland กับแรงบันดาลใจที่ได้รับมาจากตำนานเหล่านี้แน่นอน !
‘Joker’ ตัวละครไร้หน้าใน Alice in Borderland
ในซีซั่น 3 ชายลึกลับได้พูดถึงสำรับไพ่ ที่ในหนึ่งชุดมีสี่ดอก แต่ละดอกมีเลขตั้งแต่ 1 ถึง 13 ทำให้ไพ่หนึ่งสำรับมี 52 ใบเมื่อคุณจำนวนวันรวมกันทั้งหมดจะได้เป็น 364 เมื่อเพิ่มโจ๊กเกอร์เข้าไปจะกลายเป็น 365 เท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปีของโลกมนุษย์ และเมื่อเพิ่มโจ๊กเกอร์อีกใบ ก็จะเป็น 366 วัน

ไพ่โจ๊กเกอร์ทั้งสองจึงเป็นไพ่ที่ขาดไม่ได้ เพราะสะท้อนความจริงของกาลเวลาในโลกมนุษย์ โจ๊กเกอร์ดำรงอยู่ในช่องว่างระหว่างไพ่ ในช่องว่างของกาลเวลา เป็นตัวตลกที่คอยเติมเต็มพื้นที่ระหว่างความเป็นและความตาย
ในหนังสือมังงะของ Alice in Borderland โจ๊กเกอร์เป็นตัวละครไร้หน้า เมื่ออะริสุถามว่าเขาเป็นผู้ปกครองของแดนมรณะหรือไม่ ? สิ่งนั้นถามกลับว่า “เขาดูเหมือนพระเจ้าหรือปีศาจมากกว่ากัน” จากนั้นภาพของ ‘แม่น้ำซันซึ’ ผุดขึ้นมาในความคิดของอาริสุ ทำให้เขาสรุปว่าสิ่งมีชีวิตนี้มีบทบาทเทียบเท่ากับคนพายเรือ ที่ทำหน้าที่ส่งวิญญาณผู้ตายไปยังโลกหลังความตาย


จากการวิเคราะห์ของแฟนๆ โจ๊กเกอร์มีหน้าที่คล้าย ‘Charon’ ผู้พายเรือในตำนานกรีก ที่ทำหน้าที่ส่งวิญญาณข้ามฝั่งแม่น้ำ ว่าจะออกจากแดนมรณะไปสู่โลกคนเป็น หรือสูญหายไปตลอดกาลในโลกแห่งความตาย ดังนั้นในฉากสุดท้ายหลังเคลียร์เกม จึงถูกออกแบบให้มีฉากภัยพิบัติ พายุและกระแสน้ำเชี่ยว ที่ตัวละครต้องต่อสู้ดิ้นรนว่ายข้ามผ่านเพื่อกลับไปสู่โลกแห่งชีวิตให้ได้
‘Charon’ ผู้พายเรือแห่งความตาย จากตำนานกรีก
เทพโอลิมปัสในตำนานเทพเจ้ากรีก ที่มักถูกเรียกว่าคนพายเรือแห่งความตาย (Ferryman of Hades) โดยมีหน้าที่หลักคือ การนำดวงวิญญาณข้ามแม่น้ำที่แบ่งแยกดินแดนแห่งชีวิตจากโลกหลังความตาย หรือแม่น้ำสติกซ์ (Styx) ไปยังยมโลกของเทพฮาเดส

ตามตำนาน Charon จะพาวิญญาณเฉพาะผู้ที่ได้รับการฝังศพหรือมีการทำพิธีอย่างถูกต้องเท่านั้น ผู้ตายต้องมอบเหรียญ (ที่ญาติวางไว้ในปากหรือบนร่างกาย) เป็นค่าโดยสารให้ชารอน เรียกว่า อ็อบอล (Obol) หากไม่มีค่าโดยสาร วิญญาณจะถูกทิ้งให้เร่ร่อนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชั่วนิรันดร์ ไม่สามารถข้ามไปยังยมโลกได้
การออกแบบคาแรคเตอร์ของ Charon นั้นมีความหมายที่แฝงอยู่หลายจุด
- ‘เรือ’ สื่อความหมายของเครื่องมือที่ใช้การขนส่งวิญญาณ
- ‘ไม้พาย’ เป็นสัญลักษณ์ของการควบคุมวิญญาณไปสู่จุดหมาย
- ‘รูปลักษณ์ผอมแห้ง’ ที่มักถูกวาดเป็นร่างโครงกระดูกดูหม่นหมอง แสดงถึงความตายและการเปลี่ยนผ่านระหว่างโลก
จากรูปลักษณ์ที่ชัดเจนทั้งหมดนี้ ทำให้ไม่มีใครสับสนเขากับ ‘ยมทูต’ ในตำนานเทพปกรณัมยุคหลัง


‘Anubis’ ผู้พิพากษาแห่งวิญญาณ จากตำนานอียิปต์
เทพ ‘Anubis’ แห่งอียิปต์โบราณที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง มีบทบาทสำคัญทั้งในกระบวนการพิธีกรรมและโลกหลังความตายหลายอย่างด้วยกัน ทั้งเป็นผู้ช่วยในขั้นตอนการดองศพ การสร้างองค์ประกอบร่างกายให้ถูกต้อง และการทำมัมมี่ เพื่อให้ผู้ตายได้รับการอนุรักษ์อย่างสมบูรณ์ นับเป็นการเปิดพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้ตาย


แต่หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของ Anubis คือการ ‘ชั่งน้ำหนักหัวใจ’ โดยที่วิญญาณของผู้ตายจะถูกทดสอบกับขนนกแห่งมาอัต เทพีแห่งความจริงและความยุติธรรม
หากหัวใจเบากว่า วิญญาณจะได้รับสิทธิ์เดินทางต่อ แต่หากหนักกว่า ก็จะถูกทำลายโดยอสูรกินวิญญาณ กระบวนการนี้จึงสะท้อนถึงตัวตนของ Anubis ในฐานะเทพผู้พิทักษ์ความจริงและความเที่ยงตรง นอกจากนั้น Anubis ยังคุ้มครองสุสาน เพื่อนำไปวิญญาณไปถึง ‘Field of Reeds’ หรือดินแดนของผู้ทำความดีอีกด้วย

Anubis มีลักษณะเป็นเทพที่ลำตัวเป็นมนุษย์ และส่วนคอจนไปถึงหัว เป็นสุนัขสีดำ ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า การที่ลักษณะใบหน้าคล้ายสุนัข เพราะเป็นสัตว์ที่มักหากินในช่วงเวลากลางคืน และพบได้บ่อยแถวๆ สุสานคนตาย ในมือของเทพองค์นี้จะถือ ‘คทา’ ซึ่งมีหน้าที่หลัก ก็คือการนำดวงวิญญาณคนตาย เพื่อนำพาไปยังยมโลก เพื่อให้ดวงวิญญาณรับผลกรรมที่ตนได้ก่อเอาไว้นั่นเอง
‘Xolotl’ ผู้คุ้มครองวิญญาณสู่ยมโลก แห่งวัฒนธรรมแอซเท็ก (Aztec) เมโสอเมริกา
Xolotl เป็นเทพเจ้าจากวัฒนธรรมแอซเท็ก (Aztec) ในเมโสอเมริกา มีบทบาทสำคัญในฐานะเทพแห่งความตาย การเปลี่ยนผ่าน และการปกป้องผู้ตายในการเดินทางสู่ยมโลก หรือ ‘Mictlan’ โดยทำหน้าที่เป็น ‘ผู้นำทางวิญญาณ’ (psychopomp) ผ่านอุปสรรค 9 ด่านก่อนถึง ‘Mictlan’ และช่วยให้ดวงวิญญาณข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปถึงโลกหลังความตายได้อย่างปลอดภัย

สุนัขในความเชื่อของแอซเท็ก ถือว่ามีหน้าที่พาดวงวิญญาณข้าม ‘แม่น้ำแห่งความตาย’ ดังนั้น เมื่อนำพาวิญญาณเจ้าของไปถึง Mictlan แล้ว ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป โดยที่มี Xolotl ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์วิญญาณเจ้าของในโลกหลังความตาย ทำให้เราเห็นว่าชาวแอซเท็กมีความเชื่อว่าความผูกพันระหว่างมนุษย์และสัตว์เลี้ยงนั้นสามารถดำเนินต่อไปแม้อยู่ในอีกภพภูมิ
ลักษณะทางกายภาพของ Xolotl ถูกบรรยายเป็นมนุษย์ที่มีหัวสุนัขบ้าง หรือสุนัขที่มีลักษณะบิดเบี้ยวผิดปกติบ้างแล้วแต่ตำนาน
ปัจจุบันมีสุนัขสายพันธุ์ที่ชื่อว่า ‘Xoloitzcuintle’ ที่มีเชื้อสายยาวนานอย่างน้อย 3,500 ปี ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากเม็กซิโก ที่เขาเชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจาก Xolotl อีกด้วย !
‘Valkyries’ ผู้คัดเลือกวิญญาณนักรบสู่ห้องโถง Valhalla แห่งตำนานนอร์สและตำนานยุคไวกิ้ง
ในภาษานอร์สโบราณ Valkyriesแปลว่า ‘ผู้เลือกผู้ถูกสังหาร’ ซึ่งอธิบายบทบาทของ Valkyries ได้อย่างตรงตัว
Valkyries คือกลุ่มนักรบหญิงศักดิ์สิทธิ์ที่รับใช้เทพ ‘Odin’ พวกเธอมีหน้าที่คัดเลือกวิญญาณของนักรบที่กล้าหาญเพื่อพาวิญญาณของพวกเขาไปยัง ‘Valhalla’ หรือที่อยู่เทพ Odin เพื่อเข้าร่วมกองทัพใน ‘Ragnarök’ หรือสงครามสิ้นโลก

หากเราค้นหางานศิลปะที่แสดงถึงเหล่า Valkyries มักถูกวาดเป็นหญิงสาวที่เย้ายวนและอ่อนหวาน ส่วนใหญ่มักมีความ Erotic แต่ถือโล่ ปรากฏตัวเป็นนักรบเทพที่เข้าร่วมการต่อสู้ในฝ่ายดีจึงมีภาพลักษณ์ที่ดี
แต่ถ้าเราไปดูข้อมูลจากฝั่งตำนานยุคไวกิ้ง จะพบว่ามีภาพลักษณ์ที่ต่างออกไปมาก โดยดูเหมือนปีศาจแห่งความตายมากกว่า Valkyries จากตำนานฝั่งไวกิ้งมักสวมชุดเกราะโซ่ยาวถึงเข่าและหมวกเกราะเหมือนนักรบชาย ขี่ม้าดูดุดัน และสวมเสื้อคลุมที่ทำจากขนหงส์ที่ทำให้บินได้

อีกทั้งยังถูกบรรยายเปรียบเทียบถึงเลือดที่ถูกเทลงบนสนามรบ สันนิษฐานว่าการปรากฏตัวของ Valkyries ทำให้การต่อสู้ยิ่งดุเดือดและทวีรุนแรง เพื่อให้พวกเธอได้วิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อาจเรียกได้ว่าตำนานในแต่ละยุคทำให้ดีไซน์ของคาแรคเตอร์นี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้
Yama ผู้ปกครองผู้ล่วงลับ แห่งตำนานอินเดีย และศาสนาฮินดู
‘Yama’ หรือ พระยม ถือเป็นมนุษย์องค์แรกที่สิ้นพระชนม์และมองเห็นทางไปสู่สรวงสวรรค์ ส่งผลให้พระองค์กลายเป็น ‘ผู้ปกครองผู้ล่วงลับ’ หรือเป็นผู้ปกครองความตายและยมโลก ทำหน้าที่ตัดสินความดีความชั่วของวิญญาณหลังจากสิ้นชีวิตว่าจะไปเกิดใหม่ในภพภูมิใดหรือถูกลงโทษในนรก อีกทั้งยังเป็นผู้รักษากฎแห่งธรรม จึงได้รับสมญานามว่า ‘ธรรมราชา’ ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรมในปรโลก


พระยมเป็นหนึ่งในโลกบาล หรือ ‘ผู้พิทักษ์ดินแดน’ ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุ้มครองทิศใต้ ซึ่งถือเป็น ‘ทิศแห่งความตาย’ โดยมักถูกบรรยายว่าเทพเจ้าผู้สง่างาม มักมีรูปร่างเป็นสีดำ เขียว หรือน้ำเงิน สวมอาภรณ์สีแดงหรือสีทอง และพระเนตรสีแดง ที่สามาารถมองเห็นบาปบุญของสรรพสัตว์อย่างชัดเจน
พระยมทรงควายดำเป็นพาหนะ อันเป็นสัตว์ที่เปี่ยมด้วยพลัง แข็งแรง อดทน และมีความหมายเชื่อมโยงกับความตาย ความมืด และโลกบาดาล อีกทั้งทรงถือ ‘บ่วงบาศ’ ซึ่งใช้จับวิญญาณที่ถึงคราวต้องดับสูญ เป็นสัญลักษณ์ว่ามนุษย์ไม่อาจหลีกหนีจากกฎแห่งกรรมและความตาย และ ‘กระบองยมทัณฑ์’ ซึ่งเป็นอาวุธแห่งการลงโทษวิญญาณบาปในนรก แสดงถึงกฎแห่งความยุติธรรมและการพิพากษา