Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

เจาะลึกเบื้องหลัง ผีใช้ได้ค่ะ A Useful Ghost หนังไทยที่คว้ารางวัลใหญ่เมืองคานส์

ผีใช้ได้ค่ะ หรือ A Useful Ghost เป็นผลงานการกำกับและการเขียนบทภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของคุณอุ้ย รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค อำนวยการสร้างโดยค่ายภาพยนตร์ 185 Films ด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่โดดเด่นของคุณอุ้ย ทำให้ภาพยนตร์ ผีใช้ได้ค่ะ สามารถชนะรางวัล Grand Prize AMI Paris จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาได้ !

และล่าสุดภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกคัดเลือกโดยสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ในการเป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 98 เป็นที่เรียบร้อย จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจับตาเป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่วันเข้าฉายเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายแง่มุม ด้วยการนำเสนอประเด็นทางสังคมที่สุดโต่งและจิกกัดได้อย่างแสบสัน

ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงความรักสุดล้ำของ ‘มาร์ช’ ที่สูญเสียภรรยา ‘แนท’ ก่อนจะค้นพบว่าเธอได้กลายเป็นผีที่สิงในเครื่องดูดฝุ่น ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหามากมายที่ขัดขวางความรัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องของโลกความเป็นความตาย แต่เป็นปัญหาวุ่นวายในโลกที่ทุกคนคุ้นเคย

นอกจากเนื้อเรื่องและการกำกับที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว งานออกแบบงานสร้าง (Production Design) ของภาพยนตร์เรื่องก็มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ เรียกได้ว่า ความสวยงามของหน้าหนังเรื่องนี้ ถือเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยดึงดูดผู้ชมให้มาชมผลงานนี้จริงๆ

วันนี้ Art of จะพาไปพูดคุยกับ ผู้กำกับ คุณอุ้ย รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค, ผู้ออกแบบงานสร้าง (Production designer) คุณปอม ราสิเกติ์ สุขกาล และผู้ดูแลฝ่ายพร็อพ (Prop master) คุณน้ำขิง อมรศิริ ยมะคุปต์ ที่จะมาเล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานในหนังเรื่องนี้ ว่าทำอย่างไรถึงสามารถซ่อนประเด็นทางสังคมไทยไว้ได้แยบยล และยังสามารถสื่อสารไปยังผู้ชมทั่วโลกได้อย่างสากลอีกด้วย

คุณอุ้ย รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค

คุณปอม ราสิเกติ์ สุขกาล และคุณน้ำขิง อมรศิริ ยมะคุปต์


จาก ‘ผีแม่นาก’ สู่ ‘ผีใช้ได้ค่ะ’

การได้นักแสดงอย่าง คุณใหม่ ดาวิกา มารับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นความบังเอิญที่เหมาะสม เพราะก่อนหน้านี้บทที่เป็นภาพจำมากที่สุดของเธอ คงหนีไม่พ้นบท ‘ผีแม่นาก’ ในภาพยนตร์ พี่มาก…พระโขนง (2013) ซึ่งตำนานเรื่อง ‘ผีแม่นาก’ นี่เองที่เป็นไอเดียตั้งต้นของ ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ ก่อนจะถูกพัฒนามาเป็นบทภาพยนตร์

เดิมทีผู้กำกับอย่าง ‘คุณอุ้ย รัชฏ์ภูมิ’ เป็นคนที่ชอบทำหนังจากความสนใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ ‘สภาวะอาณานิคมในสังคมไทย’ อยู่แล้ว โดยการนำผู้คนหรือตัวละครในประวัติศาสตร์ที่ไอคอนิกในยุคนั้นๆ มาตีความใหม่ เช่น เรื่องราวของตัวละครมณีจันทร์ในทวิภพ หรือ ซูเปอร์ฮีโร่อย่างอินทรีแดง

สำหรับครั้งนี้คุณอุ้ย ได้หยิบยกเอาตำนานที่หลายคนรู้จักกันดีอย่าง ‘ผีแม่นาก’ เรื่องเล่าขานของผีตายทั้งกลมที่ฝืนความตายกลับมาใช้ชีวิตกับสามีผู้เป็นที่รักมาเล่าอีกครั้ง ซึ่งมีความขัดแย้งกับชุดความเชื่อทางสังคมที่มาตราหน้าผีแม่นากที่ว่า คนกับผีไม่อาจรักกันได้ ซึ่งแก่นเรื่องที่ดูเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ที่มีความคล้ายกับนิยามในกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะกับ ‘เควียร์ (Queer)’ ที่เป็นกลุ่มคนที่เปิดกว้างกับความรักทุกรูปแบบ

“ ผมรู้สึกว่าคนกับผีมันเป็นเควียร์รูปแบบหนึ่ง เลยอยากสำรวจประเด็นนี้ ในขณะเดียวกันเรื่องราวของมนุษย์ไปหลงรักกับสิ่งที่ไม่ใช่คน ก็มีให้เห็นผ่านตามานักต่อนัก อย่างหนัง Twilight ที่คนรักกับแวมไพร์ หรือหนังคนรักกับซอมบี้ มันเลยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ” คุณอุ้ย รัชฏ์ภูมิ กล่าว


การสร้างโลกของความวิตถารที่สง่างาม

“Perversely Elegant – Elegantly Perverse
มันสง่างามอย่างวิตถาร และวิตถารอย่างสง่างาม”

เป็นนิยามที่คุณอุ้ยใช้สำหรับการเขียน ‘เอกสาร Worldbuilding’ ซึ่งเป็นเอกสารที่สื่อสารกับแผนกต่างๆ ในกองถ่าย ส่วนหนึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากการทำหนังของผู้กำกับชาวโปรตุเกสอย่าง ‘João César Monteiro’ ที่มักจะบอกกับตากล้องของเขาเสมอว่า อย่าพยายามถ่ายให้หนังมันดูมีความ Cinematic หรือสวยมากเกินไป เพื่อทลายกรอบการทำหนังแบบบล็อกบัสเตอร์แบบเก่าทิ้งไป 

ภาพยนตร์ Vai~E~Vem (2003) ของ João César Monteiro

“ผมว่าหนังมันควรจะดูสวยมากๆ ให้เหมือนเรามองภาพวาด แต่ในขณะเดียวกันก็มีความวิตถารแฝงอยู่ในนั้น ความแปลกของสถานการณ์ภายในเรื่องทำให้ผมรู้สึกว่ามันคอนทราสกันดี” คุณอุ้ยเล่า

ตัวอย่างงาน Naive Art
The Domino Players (Juego de Domino)โดย Cuban artist José Rodríguez Fuster.

นอกเหนือจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิดของสกุลศิลปะแบบ ‘Naive Art ที่ศิลปินตั้งใจให้ภาพวาดแลดูเหมือนมือสมัครเล่นคล้ายเด็กวาดแม้ว่าตัวงานจะเปี่ยมไปด้วยทักษะแบบมืออาชีพ แต่จงใจวาดให้ดูไม่ทางการ ส่วนตัวคุณอุ้ยรู้สึกชอบวิธีคิดนี้เลยอยากให้หนังมันมีความรู้สึกแบบไม่เป๊ะตามแบบฉบับการทำหนังทั่วไป ถึงจะดูไม่เป็นทางการ แต่ก็เปี่ยมด้วยทักษะที่ประณีต เช่นเดียวกับหลายๆ ผลงานของศิลปิน Naive Art

ภาพ Impression, Sunrise โดย Claude Monet

หนังเรื่องนี้ยังมีอิทธิพลของ ศิลปะอิมเพรสชันนิส (Impressionism) แฝงอยู่ด้วย ในทางประวัติศาสตร์โมเน่ต์ (Claude Monet) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรยากาศพร่าเลือนที่ปกคลุมด้วยฝุ่นในเมืองลอนดอน ที่ว่ากันว่ามันมาจากโรงงานอุตสาหกรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงแม้ไม่ได้หยิบมาใช้เป็นหลัก แต่ก็ยังมีบางซีนที่มีไอเดียนี่อยู่ อย่างซีนโลกความฝัน และหากสังเกตดีๆ ซีนในตอนจบจะมีฉากที่มีรูปภาพหนึ่งที่มีตัวละครตัวนึงใช้ตีหัวคนอยู่ด้วย


เฟรมภาพที่เสมือนละครเวที

ความตั้งใจของคุณอุ้ยในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ คืออยากให้ผู้ชมรู้สึกราวกับกำลังชมงานศิลปะชิ้นหนึ่งมากกว่าการมานั่งดูหนังทั่วไป ด้วยการเลือกใช้อัตราส่วนภาพ 1.66:1 ที่มีขอบของเฟรมคล้ายภาพจากกล้องฟิล์ม ช่วยสร้างบรรยากาศเหมือนกำลังฟังนิทานเรื่องเล่า ไม่ใช่การดึงผู้ชมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์แบบหนังสมัยใหม่ 

โดยภาพส่วนใหญ่จะเห็นตัวละครเต็มตัวคล้ายการดูละครเวที ที่ใช้การจัดองค์ประกอบภาพในมุมกว้าง มีการถ่ายเฟรมแคบน้อยมาก เพื่อให้รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างผู้ชมกับเรื่องราวอย่างจงใจ


จากไอเดียแฟนตาซี สู่โลกที่จับต้องได้

ในกระบวนการสร้างภาพยนตร์ บทภาพยนตร์ไม่จำเป็นต้องระบุรายละเอียดร้อยเปอร์เซ็น หากเข้าใจภาพรวมของเรื่องและทิศทางของผู้กำกับต้องการจะเล่า

ผู้ที่ดูแลงานด้านดีไซน์หรือการออกแบบงานสร้าง (Production design) โดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ‘คุณปอม ราสิเกติ์ สุขกาล ผู้อยู่เบื้องหลังงานสร้างกับ 185 Films มานานกว่า 20 ปี และมีประสบการณ์ในภาพยนตร์แนวสยองขวัญอย่าง Faces of Anne ความท้าทายใหม่ของเขาในครั้งนี้คือ การสร้าง ‘ผี’ ในหนังที่ไม่ได้เป็นแนวสยองขวัญ ทำให้ต้องมาคิดว่าจะใช้เทคนิคแบบใดในการทำให้ผีปรากฏตัวออกมาอย่างเหมาะสม หน้าที่ของ Production Designer จึงเป็นการแปลงไอเดียของผู้กำกับให้เกิดขึ้นจริงเป็นภาพที่จับต้องได้

สำหรับคุณปอม เขามองว่าการออกแบบเป็นภาษารูปแบบหนึ่ง ในการทำงานกับหนังที่มีความเซอร์เรียลสูง สิ่งที่เขาสัมผัสได้ชัดเจนคือตัวบทที่มีความเป็นไทยอยู่ ทั้งรายละเอียด อย่างเรื่องครอบครัวคนจีน ความสัมพันธ์ครอบครัว และประเด็นการเมืองที่ยากที่จะพูดออกมาตรงๆ

คุณปอม ราสิเกติ์ สุขกาล

“ ผมเริ่มจากการตีความบทก่อน ตอนที่อ่านบทครั้งแรก มันประกอบไปด้วยอารมณ์และประเด็นต่างๆ มากมาย มันมีทั้งตลก ลึกลับ การเมือง ทุกอย่างผสมเข้าด้วยกัน ซึ่งผมรู้สึกว่าไอเดียมันเปิดกว้างมาก ” คุณปอมกล่าว

ผู้กำกับอย่างคุณอุ้ยเองมองว่าไม่จำเป็นต้องกำหนดรายละเอียดทุกอย่างไว้ตั้งแต่ต้น เพราะจินตนาการของเขาอาจไปไม่ถึงเท่าความชำนาญของคนที่ทำงานในแต่ละฝ่าย เขาจึงเลือกเปิดพื้นที่ให้ทีมอาร์ต ทีมโลเกชัน หรือแม้แต่นักแสดง ได้มีส่วนร่วมใส่ไอเดียตัวเองลงไป เพื่อขยายโลกของหนังให้สมบูรณ์ขึ้น

“ อย่างเช่น ซีนโลกความฝัน ซึ่งเดิมทีในบทระบุเพียงว่าเป็นริมลำธาร แต่ทีมโลเกชันหาสถานที่ที่เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม จ.ระยอง มาได้ ซึ่งเข้ากับบรรยากาศเหนือจริงของโลกความฝันในเรื่องได้อย่างพอดิบพอดี ” คุณอุ้ยกล่าว


จะใช้ภาษาภาพช่วยในการเล่าเรื่องได้อย่างไร

เทคนิคที่คุณปอมใช้ในการออกแบบคือการหยิบ ‘ภาพจำ’ ที่มีความเป็นสากลมาใช้ เพราะเขาเชื่อว่าทุกคนล้วนมีภาพจำร่วมกันเกี่ยวกับสิ่งของหรือฉากประสบการณ์ที่เป็นไอคอนิกบางอย่างร่วมกันในหัว โดยการหา Reference จากภาพถ่ายของช่างภาพจำนวนมาก ก่อนจะหยิบจับมาใช้ แล้วนำมาต่อยอดเป็นฉากต่างๆ โดยแต่งเติมความหมายอื่นแฝงเข้าไป

สำหรับการออกแบบงานสร้างภายในหนังเรื่องนี้ ทีมงานเลือกใช้แนวคิดที่ผสมผสานระหว่างความ ‘สมจริง’ กับความ ‘เหนือจริง’ เพื่อสร้างบรรยากาศที่คุ้นเคยแต่ก็มีความแปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน จึงเป็นที่มาของคำนิยามที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มอบกับหนังเรื่องนี้ว่า “Real with a Bit of Surreal

คุณปอม ราสิเกติ์ สุขกาล และ คุณน้ำขิง อมรศิริ ยมะคุปต์

ทาง คุณน้ำขิง อมรศิริ ยมะคุปต์ ผู้รับหน้าที่เป็น Prop Master บอกว่างานดีไซน์ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่สไตล์เดียว แต่ขึ้นอยู่กับ ‘บาลานซ์ขององค์ประกอบในโลเคชัน’ เพื่อไม่ให้งานดูเด่นเกินไป หรือทำให้ภาพโดยรวมของงานล้นจนเกินไป ของบางชิ้นอาจดูธรรมดา แต่เมื่อนำมารวมกันกลับทำให้ฉากดูสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ ในส่วนของความเซอร์เรียลในหนังนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการ ‘ปรับเปลี่ยนสีสันและสร้างพร็อพใหม่’

เช่น เครื่องหัวเครื่องช็อตไฟฟ้า ที่เพิ่มรายละเอียดขดลวดที่ดูเป็นของเล่นเสริมเข้าไปเพื่อให้รู้สึกเซอร์เรียลมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วของในฉากยังคงเป็นของที่ดูใช้งานได้และเชื่อถือได้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์ด้วย


การใช้สีในภาพยนตร์ ผีใช้ได้ค่ะ

คุณน้ำขิงเล่าว่าการเลือกใช้สีกับสิ่งของในแต่ละฉากต้องพิจารณาจากบริบทของตัวละครและโลกภายในเรื่องอย่างรอบคอบ เช่น ตัวละคร ‘กะเทยวิชาการ’ ที่มีบุคลิกเฉพาะ อาจไม่เหมาะกับของที่ดู ‘ล้ำ’ จนเกินไป เพราะจะทำให้หลุดจากความสมจริง การออกแบบจึงไม่ใช่แค่การเลือกของสวยหรือไอเท็มที่โดดเด่น แต่ต้องเกลี่ยน้ำหนัก ให้สมดุลระหว่างภาพรวม เพราะถ้าทุกอย่างดูดีเกินไป ความสมจริงในเรื่องก็จะลดลง และผู้ชมอาจเชื่อในโลกของหนังได้ยากขึ้น

ในมุมของคุณปอม สีถือเป็น ‘ภาษาสากล’ ที่มีพลังในตัวเอง แม้บางสีจะไม่เป็นที่นิยมในตลาดการออกแบบ ที่คนส่วนใหญ่มองว่าดูแปลกหรือใช้ยาก แต่หากลองนำจับคู่กับสิ่งอื่น มันก็สามารถสร้างภาษาภาพแบบใหม่ที่สื่อสารได้ลึกซึ้งกว่าเดิม

“ความเป็นไทยมีเสน่ห์เฉพาะที่ บางครั้งต่างชาติมองเห็นมากกว่าเรา อย่างความสนุกสนานของคนไทย จึงเป็นเหตุผลของสิ่งของที่เป็นไอคอนิกของหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดูดฝุ่น เสื้อผ้าตัวละคร รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่มักเลือกใช้ ‘แม่สี’ มาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในงานองค์ประกอบของงานภาพ ” คุณปอมกล่าว

คุณน้ำขิงพูดถึงการใช้สีว่า ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความหมายมากเกินไป เพื่อ ‘เพิ่มพื้นที่ว่าง’ ต่อยอดให้คนดูแต่ละคนสามารถตีความและใส่ความหมายได้อย่างอิสระ เช่น ซีนเตียงโรงพยาบาลที่ไม่ได้ต้องเป็นสีขาวหรือเขียวอย่างที่เราคุ้นเคย แต่ลองจับคู่สีที่ไม่ธรรมดา เช่น ลองเปลี่ยนให้ผ้าปูเป็นสีแดง ลองวางผ้าห่มสีเขียวสะท้อนแสงลงไป มันก็ทำให้เกิดความสวยงามในมุมมองใหม่ สีทุกสีมีความสวยในตัวเอง และไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยกฎเดิมๆ

หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วอย่าง ‘เครื่องดูดฝุ่น’ ที่ถูกผีแนทเข้าสิง ทำไมถึงถูกวางให้สีชุดของผีแนทและสีของตัวเครื่องดูดฝุ่นเป็นคนละสี

‘คุณปอม’ กับ ‘คุณน้ำขิง’ เห็นตรงกันว่า ไม่จำเป็นอะไรที่ต้องให้สองสิ่งนี้ต้องมีความเหมือนกันขนาดนั้น พวกเขาแค่รู้สึกว่า สีสันเป็นเพียงแค่ตัวช่วยในการขับเคลื่อนองค์ประกอบศิลป์ในเรื่อง ส่วนคนดูอยากจะตีความแบบไหน นั้นแล้วแต่คนดูจะตีความเลย มันไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ‘เหตุผลเลือกสีที่ต่างกันเพราะมันสวยแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว’สำหรับพวกเขา 

ซึ่งตัวเครื่องถูกออกแบบโดยนักออกแบบจากสิงคโปร์ ภายใต้เงื่อนไขความร่วมมือด้านทุนสร้างภาพยนตร์ ซึ่งคุณปอมมีส่วนร่วมในการเลือกดีไซน์ โดยเฉพาะในพาร์ท ‘การเลือกสี’ ของหุ่นตัวนี้

ที่น่าสนใจคือ แม้ฟอร์มของเครื่องดูดฝุ่นจะดูไม่ไทยเลย แต่ลักษณะตัวเครื่องที่โค้งไปด้านหน้า ทำให้หุ่นดูคล้ายคนกำลังไหว้อย่างนอบน้อม กลับแฝงภาษาการออกแบบที่สะท้อน ‘ความเป็นไทย’ อย่างละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นภาษาภาพที่นำเสนอความเป็นไทยได้อย่างสร้างสรรค์


Location สานฝันภาพในจินตนาการ

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมผู้สร้างแบ่งโลกออกเป็น 3 โลกหลัก ได้แก่ ‘โลกความจริงของกะเทย’, ‘โลกของเรื่องเล่าในโรงงาน’ และ ‘โลกความฝัน’ เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างของเรื่องและช่วยให้การออกแบบวิชวลชัดเจนขึ้น โดยในบางช่วงของเรื่องมีการซ้อนทับของเลเยอร์เนื้อเรื่อง

ซึ่งสุดท้ายทั้งหมดถูกเชื่อมโยงด้วยโลเกชันหลักคือ ‘ลานจัตุรัสกลางเมือง’ ที่เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดศูนย์กลางของเรื่องราว จึงทำให้คุณปอมต้องทำการบ้านหนักเป็นพิเศษ

ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่ คุณบูม ภควัฒน์ แตงหอม ผู้ทำหน้าที่ Location manager ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในการหาโลเกชันที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายทำ แต่ละสถานที่ที่พวกเขาหามาได้มีส่วนช่วยทำให้ภาพยนตร์มีมิติขึ้นจากบทดั้งเดิม ซึ่งทำให้ทั้งผู้กำกับอย่างคุณอุ้ย และทีมอาร์ตประทับใจในการทำงานของพวกเขาเป็นอย่างมาก 

โลเกชันที่น่าสนใจที่สุด อย่าง ‘โรงช็อตไฟฟ้า’ ตามบทภาพยนตร์เดิม บอกแค่ว่าเป็นห้องแล็บ ซึ่งตอนแรกคาดว่าจะใช้โกดังโล่งๆ ในการถ่ายทำ แต่ทีมสร้างก็เห็นว่าฉากโกดังไม่สามารถส่งพลังได้มากพอสำหรับช่วงเวลาสำคัญของเรื่อง จนกระทั่งทางคุณบูมได้หาสถานที่สุดแปลกมาได้  ซึ่งเป็นสถานที่จริงของหน่วยงานลับทางราชการที่ใช้ในการทดลองวิทยาศาสตร์จริงๆ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูแข็ง มีความแปลก และมีความลี้ลับในตัว ทั้งหมดช่วยทำให้เกิดซีนไอคอนิกนี้ขึ้นมาโดยการไม่พึ่ง CGI เลย

หรือในฉากโรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่จริงๆ แล้วเป็นโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่มีความสูงที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของผีที่สิงเครื่องจักรอาละวาดในโรงงานเป็นอย่างดี


การทำหนังเป็นความสุขของชีวิตมากกว่าการมานั่งคาดหวังรางวัล

แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะคว้ารางวัลใหญ่ในระดับนานาชาติ  คุณปอมเผยว่า ขณะทำงานไม่ได้คาดหวังรางวัลเลย สิ่งที่เขารู้อยู่แก่ใจคือความมั่นใจว่านี่คือ “หนังที่ดีที่สุดในชีวิตที่เคยทำมา” โดยเฉพาะในแง่ของงานภาพและวิชวลที่สามารถสื่อสารกับผู้ชมได้อย่างทรงพลัง  และที่สำคัญที่สุดคือความสุขที่ได้รับในทุกๆช่วงของการถ่ายทำ

คุณปอมยอมรับว่า เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยรู้สึกต่อต้านแนวคิด ความเป็นไทย เพราะมองว่ามันดูเชยหรือล้าสมัย แต่เมื่อได้ทำหนังเรื่องนี้ กลับเริ่มเห็นว่า ความเป็นไทยไม่จำเป็นต้องถูกตีความแบบเดิมเสมอไป มันสามารถกลายเป็น ‘ภาษา’ ที่ใช้สื่อสารกับคนทั้งโลกได้อย่างทรงพลัง

“ เราเริ่มเชื่อว่า เรามีภาษาของตัวเอง และน่าสนใจมากกว่าที่เคยคิด ” คุณปอมกล่าว ขณะที่ คุณน้ำขิงเล่าว่า เสน่ห์ของการทำหนังสำหรับเธอ คือการได้เชื่อในสิ่งที่กำลังทำ แม้มันจะดูนามธรรม แต่ก็สัมผัสได้จริงผ่านผลงานที่เกิดขึ้น “ มันคือความรู้สึกเติมเต็ม ที่หาไม่ได้จากการทำงานแบบอื่น ” คุณน้ำขิงเสริม

คุณปอมได้เล่าถึงประสบการณ์สนุกๆ ในการทำงานอย่างการสร้างฉาก ‘ท่อผี’ ให้เคลื่อนไหวแบบหนวดปลาหมึก ซึ่งเดิมก็มีท่อเสียของโรงงานอยู่แล้ว แต่ด้วยความปลอดภัยของสิ่งของในสถานที่ จึงต้องซื้อท่อแบบเดียวกันมาเปลี่ยนเพิ่มสำหรับซีนเคลื่อนไหว และใช้ทีมอาร์ตใส่ชุดเขียวเชิดท่อกันเอง เป็นภาพความน่ารักที่จดจำได้ไม่ลืมเลย


การเป็น ‘คนทำหนัง’ ในวงการภาพยนตร์ไทย

สำหรับคุณปอม การเป็นคนทำหนังคืออาชีพหลักที่เขายึดมั่นและทำมาเป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีก็จริง แต่นอกเหนือจากการทำหนัง เขาก็รับงานเสริมในบทบาทของการเป็นเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วย

คุณปอมเล่าว่า การเป็นคนทำหนังไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถยึดมันเป็นอาชีพหลักได้ หลายครั้งเหมือนเป็นการมาเก็บประสบการณ์ และความสามารถเสียมากกว่า ซึ่งคนทำหนังในไทยส่วนใหญ่ เป็นปกติที่จะมีอาชีพอื่นนอกจากการเป็นคนทำหนัง หรืออย่างคุณน้ำขิงทำงานโปรดักชันเป็นฟรีแลนซ์ด้วย

วงการหนังไทยที่ยังถูกมองว่าเป็นสังคมเล็กๆ ที่ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ทำให้ยากที่คนทำหนังจะมีความมั่นคงทางอาชีพ เป็นเหมือนการขับรถบนถนนลูกรังที่ต้องระวังหลุมบ่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังสามารถทำงานได้หากขับอย่างระมัดระวัง

“ สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในการทำงานสำคัญมาก โดยเฉพาะกับเด็กฝึกงาน เพราะถ้าประสบการณ์เริ่มต้นมันไม่ดีจะทำให้คนไม่อยากอยู่ในวงการนี้ การหมุนเวียนให้คนรุ่นใหม่ได้มารู้จักการทำงาน มีส่วนช่วยทำให้อุตสหกรรมในประเทศนี้เติบโตขึ้นได้ด้วย ” คุณปอมกล่าว

“ การทำหนังต้องทำงานร่วมกับทีมใหญ่ บรรยากาศดีจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้งานราบรื่นและสนุก ถ้าหากใครอยากกระโดดเข้ามาทำงานด้านนี้ ประสบการณ์และคอนเนกชันสำคัญมาก เพราะฉะนั้นอย่ารอ ทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ ต้องสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ” คุณน้ำขิงเสริม

เชื่อว่าภาพยนตร์ ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) จะเป็นอีกหนึ่งหน้าสำคัญในประวัติศาสตร์หนังไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทำหนังรุ่นต่อไป สำหรับใครที่สนใจ ตอนนี้ยังสามารถหาชมได้ในบางโรงภาพยนตร์ หรือหากพลาดไป ก็รอติดตามการเข้าฉายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ในอนาคต เพราะนี่คือหนึ่งในผลงานที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


  • บทความโดย รณกร หนูจีนเส้ง
  • เรียบเรียงโดย เบญญดา ถาวรเศรษฐ
  • ภาพโดย 185 Films

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save