24Views

‘สีสยอง’ ในโลกของภาพยนตร์ ที่บางครั้งอาจไม่ใช่แค่สีดำ
ในโลกของภาพยนตร์แนวจิตวิทยาระทึกขวัญ (Psychological Thriller/Horror) สิ่งที่สามารถนำมาใช้เพื่อให้คนดูรู้สึกร่วม ไม่ได้มีแค่แค่บทหนังสุดหักมุม การแสดงที่ถึงเครื่อง หรือการใช้เสียงเพลงหลอนๆ สั่นประสาทเท่านั้น แต่ “การใช้สี” ก็เป็นอีกหนึ่งอาวุธเงียบที่ทรงพลังไม่แพ้กันเลย
การออกแบบโทนสีในหนังเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่เพื่อเป็นสัญญะ เน้นถึงพล็อตให้สื่อความหมายแบบชัดเจน รวมถึงใช้เพื่อเจาะลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของผู้ชม และหลอกหลอนเราด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
มาดูกันดีกว่าว่าหนังเรื่องไหนบ้างที่เลือกใช้โทนสีแปลกแต่หลอนแบบเน้นๆ จนเรารู้สึกสยองแบบไม่รู้ตัว!
___
A Cure for Wellness (2016) : Sickly Green & Pale White

ภาพยนตร์เล่าเรื่องหนุ่มนักธุรกิจที่ถูกส่งไปตามเจ้านายกลับจากศูนย์บำบัดสุขภาพในเทือกเขาสวิส แต่เมื่อไปถึง เขากลับพบว่าที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยความลับน่าขนลุก ทั้งวิธีการรักษา การทดลองแปลกประหลาด และคนไข้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ โดยเฉพาะเด็กสาวชื่อฮันนาห์ที่มักดื่มน้ำสีเขียวอมฟ้าจากขวด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพลวง
หนังใช้สี Aqua Green เป็นโทนหลักในเกือบทุกเฟรม ไม่ว่าจะเป็นน้ำแร่ ห้องบำบัด เครื่องมือแพทย์ หรือสระน้ำ เพื่อสะท้อนธีม การบำบัดที่แฝงตัวอยู่ในความเจ็บป่วย
นอกจากนี้ยังถ่ายทำให้สีผิวใบหน้าของผู้ป่วยดูหมองหม่น เพื่อสื่อถึงความเจ็บป่วยและความล้มเหลวของชีวิต ตัดกับส่วนสี Ice Blue สื่อถึงความสะอาด ความเย็นชาและความห่างเหิน
แม้จะถูกวิจารณ์ว่าดำเนินเรื่องช้า แต่ภาพยนตร์ก็ได้รับคำชื่นชมในด้านการจัดแสงและสีที่ทรงพลัง ผสมผสาน Impressionism และ Gothic ได้อย่างลงตัว
อีกทั้งยังสร้างความอึดอัดและความสยองขวัญในประเด็นสุขภาพและสถานพยาบาลได้อย่างยอดเยี่ยม จนมีผู้เรียกแนวทางของเรื่องนี้ว่า Clean Horror หรือความสยองที่สะอาด
___
Enemy (2013) : Yellow & Sepia Tones

ภาพยนตร์แนว Psychological Thriller ที่เล่าเรื่องอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้ใช้ชีวิตอย่างซ้ำซากและน่าเบื่อ วันหนึ่งเขาได้ดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งและพบว่านักแสดงมีหน้าตาเหมือนเขาอย่างกับฝาแฝด เหตุการณ์นี้ทำให้เขาเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจเป็นอีกบุคลิกหนึ่งของตนเอง (หรืออาจไม่ใช่?) ความหลอน ความสับสน และความหวาดระแวงค่อยๆ ครอบงำ จนโลกของเขาบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้โทน Mustard Yellow และ Sepia Yellow เป็นสีหลัก โดยเฉพาะในฉากเมือง ห้องพัก และห้องเรียน สื่อถึงความเบื่อหน่าย ความเฉื่อยชา ความเสื่อมโทรม และสภาวะจิตใจที่เริ่มหลุดจากความเป็นจริง
ผสมกับสีน้ำตาลอ่อนซีดโทนเหลืองที่ให้ความรู้สึกเก่าและเหมือนถูกฝุ่นจับ สร้างภาพเมืองที่ไร้ชีวิต ขณะที่สีดำถูกใช้ในฉากลึกลับและลางร้าย โดยเฉพาะกับแมงมุมซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเรื่อง สะท้อนจิตใจของตัวละครหลักที่ติดอยู่ในกับดักของตนเอง
ธีมหลักของ Enemy คืออัตลักษณ์ การควบคุม และความซ้ำซาก โทนสีซีดและไร้ชีวิตช่วยสร้างบรรยากาศอึดอัด เหมือนติดอยู่ในฝันร้ายที่ไม่สิ้นสุด หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ใช้โทนสีได้เฉียบขาดที่สุดในทศวรรษ 2010
___
Swallow (2019) : Pastel Color, Red & Cold Blue

ภาพยนตร์อินดี้อเมริกันที่โดดเด่นทั้งด้านเนื้อหา ภาพ และการใช้สี ถ่ายทอดเรื่องราวของหญิงสาวที่แต่งงานเข้าสู่ครอบครัวร่ำรวย และใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรูหราที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว ความหวาดกลัว ความรู้สึกไร้อำนาจ และการถูกควบคุมอย่างเงียบงัน
จนเธอเริ่มมีพฤติกรรมผิดปกติที่เรียกว่า Pica Disorder หรือการกินสิ่งของที่ไม่ใช่อาหาร เช่น หิน ลูกแก้ว หรือเข็ม การกระทำเช่นนี้กลับกลายเป็นทางรอดเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่ายังสามารถควบคุมร่างกายและอารมณ์ของตนเองได้
โทนสีที่ใช้ในภาพยนตร์มีบทบาทสำคัญ สีพาสเทลสว่างอย่าง Pale Pink, Soft Peach, Mint Green และ Powder Blue ถูกนำมาใช้กับการตกแต่งภายในบ้าน เสื้อผ้าของนางเอก และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อสร้างบรรยากาศสงบ ปลอดภัย เรียบร้อย และสมบูรณ์แบบ แต่ก็แฝงด้วยความเปราะบาง
สีขาวและทองสะท้อนภาพลวงของความหรูหราในสังคมใหม่ของเธอ ส่วนสีแดงปรากฏในฉากสำคัญหรือสิ่งของที่เธอกลืนลงไป เพื่อเน้นความตึงเครียดและแรงปรารถนาที่ซ่อนอยู่
นักวิจารณ์ยกย่อง Swallow ว่าเป็นตัวอย่างชั้นยอดของการใช้โทนสีในการเล่าเรื่องทางจิตวิทยา แม้ว่าจังหวะการดำเนินเรื่องจะค่อนข้างเชื่องช้า แต่การควบคุมภาพและสีที่แม่นยำทำให้ผู้ชมไม่อาจละสายตาไปจากหนังได้เลย
___
Nocturne (2020) : Pale Blue, Burnt Gold & Red

เรื่องราวของ จูเลียต นักเรียนดนตรีคลาสสิกที่รู้สึกด้อยกว่าพี่สาวฝาแฝด วิเวียน ผู้เป็นนักเปียโนพรสวรรค์ วันหนึ่งจูเลียตพบโน้ตเพลงลึกลับของนักดนตรีผู้ล่วงลับ และเริ่มนำมาเล่น นำไปสู่เหตุการณ์ประหลาดและน่าสะพรึง โดยมีแกนหลักคือความทะเยอทะยานและการแข่งขันระหว่างพี่น้อง
ภาพยนตร์ใช้สีฟ้าซีดในห้องเรียน ห้องนอน และโถงทางเดิน สื่อถึงความโดดเดี่ยวและไร้อบอุ่น สีเหลืองทองไหม้ๆ ถูกใช้ในเครื่องดนตรีและห้องแสดงเพื่อสะท้อนความทะเยอทะยาน
ส่วนสีแดงปรากฏในชุดการแสดงและฉากสำคัญ เป็นสัญลักษณ์ของความหลงใหลและความทะเยอทะยานที่อาจแลกมาด้วยการทำลายตนเอง
แม้พล็อตจะไม่ใหม่ แต่นักวิจารณ์ยกย่องว่าการใช้สีคือจุดแข็งที่สุดของเรื่อง หลายคนถึงขั้นเปรียบว่าเป็น Black Swan เวอร์ชันดนตรีคลาสสิกเลยทีเดียว
___
Skinamarink (2022) : Blue-gray & Black with Pale Blue Tint

ภาพยนตร์อินดี้สยองขวัญ เล่าเรื่องเด็กสองคน เควิน อายุ 4 ขวบ และเคย์ลี พี่สาว วันหนึ่งพวกเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าพ่อหายไป ประตู หน้าต่าง และวัตถุในบ้านเริ่มหายไปอย่างไร้เหตุผล
ตัวเรื่องแทบไม่มีบทสนทนา ทุกอย่างเล่าผ่านภาพมืดพร่ามัวและเสียงแทนคำพูด ถ่ายทอดประสบการณ์คล้ายการเป็นเด็กที่ต้องอยู่ลำพังในเวลากลางคืน ความเงียบ ความหลอน และความไม่เข้าใจถูกถ่ายทอดอย่างลึกซึ้ง
หนังใช้สีกรมเข้มและดำน้ำเงินแทนความมืดยามค่ำคืนครอบคลุมเกือบทั้งเรื่อง ทำให้รู้สึกเหมือนตายังปรับแสงไม่ทันหรือยังไม่ตื่นดี ขณะที่สีขาวและเทาแบบ TV Static White/Grey Noise ใช้กับจอทีวีที่ค้างอยู่ สื่อถึงแหล่งแสงเดียวท่ามกลางความมืดและสร้างความรู้สึกกดดัน
บางฉากใส่สีเหลืองหม่นๆ กับเขียวที่ดูป่วยไข้ ในช่วงที่ความจริงบิดเบี้ยว เช่น สิ่งของลอยหรือผนังที่หายไป สีนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่ปลอดภัยและไร้สมดุลเหมือนตอนป่วยเป็นไข้
หนังตั้งใจใช้โทนสีจำกัดและทำให้ภาพพร่ามัวเหมือนเทป VHS เสีย เพื่อสร้างบรรยากาศฝันร้าย นักวิจารณ์ยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความสยองโดยแทบไม่ต้องแสดงสิ่งใดให้เห็น
___
Vivarium (2019) : Artificial Green & Muted Beige

เรื่องราวของคู่รักหนุ่มสาวที่กำลังหาบ้านเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเขาเข้าไปชมหมู่บ้านจัดสรรชื่อ Yonder กับนายหน้าท่าทางประหลาด แต่เมื่อเข้าไปในบ้านเลขที่ 9 กลับต้องติดอยู่ในหมู่บ้านจำลองที่บ้านทุกหลังเหมือนกันราวกับโคลนกันมา อีกทั้งยังถูกบังคับให้เลี้ยงเด็กที่ถูกทิ้งไว้หน้าบ้าน เหมือนการทดลองที่ควบคุมไม่ได้
หนังใช้โทนเขียวหม่นและเขียวเทา (Sickly Mint, Pale Olive, Grey-Green) กับบ้านทุกหลัง สีเขียวที่ควรสื่อถึงชีวิตกลับให้ความรู้สึกปลอม เย็นชา และไร้ธรรมชาติ สร้างความอึดอัดและหลอน เสริมด้วยพาสเทลซีด (Washed-Out Pastels) ที่ให้บรรยากาศคล้ายโลกในโฆษณาหรือของเล่นเด็ก
Vivarium ใช้โทนสีควบคุมอารมณ์ผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม โลกที่ดูสะอาดและสมบูรณ์แบบในเชิงคอมพิวเตอร์กลับกลายเป็นฝันร้ายของชนชั้นกลาง หนังจงใจให้ผู้ชมรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติโดยไม่ต้องใช้ฉากหลอน
เพียงภาพบ้านสีเขียวซ้ำๆ และท้องฟ้าปลอมๆ ก็สร้างความไม่สบายใจได้อย่างมาก หลายคนเปรียบว่าเป็น The Truman Show เวอร์ชัน Black Mirror และเป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมของ Horror through Art Direction
___
The Killing of a Sacred Deer (2017) : Sterile White, Flesh Tone & Cold Blue

เรื่องราวสยองขวัญของศัลยแพทย์หัวใจผู้มีชีวิตครอบครัวสมบูรณ์แบบ เขาได้ผูกมิตรกับวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่ภายนอกดูเรียบร้อย แต่ซ่อนแรงผลักดันที่มืดมนไว้ จนเด็กหนุ่มเปิดเผยว่าหมอเคยผ่าตัดพ่อของเขาจนเสียชีวิต และเพื่อชดใช้ ครอบครัวของเขาต้องตายทีละคน เว้นแต่เขาจะเลือกสังเวยหนึ่งชีวิตเพื่อแลกกับคนที่เหลือ
หนังใช้สีขาวสะอาด (Sterile White) ในฉากโรงพยาบาล สื่อถึง Clinical Morality หรือการตัดสินอย่างมีเหตุผลปราศจากอารมณ์ ขณะที่สีดำและเทาเข้ม (Charcoal, Shadow Grey) ใช้ในฉากมืดเพื่อสะท้อนด้านมืดของจิตใจ
สีเบจและสีเนื้อ (Beige, Flesh-Tone) ถูกใช้ในบ้านและห้องนอน ซึ่งควรดูอบอุ่น แต่เมื่อจัดแสงให้เย็นกลับสร้างบรรยากาศแห้งผากและผิดธรรมชาติ
หนังมีการตัดกันของสีสูง ทำให้ความรู้สึกรุนแรงถูกถ่ายทอดไปถึงผู้ชม นักวิจารณ์ยกย่องว่า Yorgos Lanthimos ใช้ Production Design และโทนสีสร้าง Emotional Void ได้อย่างเฉียบขาด และทำให้หนังน่ากลัวโดยไม่ต้องพึ่ง Jump Scare
___
อย่าคิดว่ามีแค่ ‘สีดำ’ หรือสีโทนเข้มเท่านั้นที่ทำให้เรารู้สึกหลอนได้ เมื่อหนังถูกดีไซน์มาอย่างดีแล้ว สีสว่างผิดธรรมชาติหรือแม้แต่สีพาสเทลก็ทำให้คนดูขนลุกขนพองได้ไม่แพ้กันเลย