155Views

สำรวจสารลึกซึ้งใน ‘Princess Mononoke’ สำรวจจิตวิญญาณแห่งป่า ผ่านสายตาเจ้าหญิงแห่งพงไพร
ย้อนกลับไปในปี 1997 ภาพยนตร์แอนิเมชัน Princess Mononoke ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่เพียงเพราะความงดงามด้านภาพและเนื้อหา แต่เป็นการหยิบจับประเด็นแก่นของเรื่องเต็มไปด้วยประเด็นสากลที่ไร้กาลเวลา
ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของผู้กำกับอย่าง Hayao Miyazaki กับ Studio Ghibli ถ่ายทอดเรื่องราวของคำสาป สงคราม และความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติได้อย่างทรงพลัง วันนี้ขอพาไปสำรวจเรื่องราวความงดงามและสารอันลึกซึ้งของแอนิเมชันเรื่องนี้ไปพร้อมกัน !
Princess Mononoke คือใคร ?

Princess Mononoke หรือ ‘เจ้าหญิงแห่งพงไพร’ ซึ่งภายในเรื่อง เธอถูกเรียกชื่อสั้นๆ ว่า ‘ซาน’ ผู้ที่มีความหมายของชื่อบ่งบอกเจตจำนงของตัวละครได้อย่างชัดเจน
คำว่า ‘Mononoke’ แปลตรงตัวว่าสิ่งลึกลับ เป็นชื่อที่ปรากฏในวรรณกรรม ความเชื่อพื้นบ้านของญี่ปุ่น เป็นคำที่ใช้บรรยายถึงความลึกลับและอันตราย ถูกใช้เรียกเป็นชื่อวิญญาณแห่งการแก้แค้น เจตนาที่สร้างความวุ่นวาย ที่มาของโรคภัย และความยากลำบากแก่ผู้คน

ซานคือเด็กสาวที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้หมาป่ากิน แต่กลับได้รับการเลี้ยงดูจากเทพหมาป่า นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความเกลียดชังที่เธอมีต่อมนุษย์ด้วยกันเอง เธอเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่อยู่ฝั่งเดียวกับธรรมชาติ เปรียบเสมือนทูตผู้ส่งสารแห่งความโกรธแค้นของธรรมชาติต่อการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบของมนุษย์ที่มีต่อผืนป่า
มังงะสุดแปลก ‘Mud Men’ ที่หล่อหลอมเรื่องราวของ Princess Mononoke

สิ่งที่ทำให้ผลงานของ Hayao Miyazaki โดดเด่นเสมอมาคือความกล้าหาญที่จะหลีกหนีการถ่ายทอดวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และหามุมมองที่สดใหม่มากกว่าสิ่งที่ผู้ชมคุ้นเคย
แรงบันดาลใจสำคัญของ Princess Mononoke มาจากเรื่องราวของมังงะลึกลับชื่อว่า ‘Mud Men’ ผลงานของอาจารย์ Daijiro Morohoshi โดยมังงะเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานระดับชั้นเลิศ ด้วยสไตล์เฉพาะตัวและบรรยากาศที่ชวนให้ขนลุก เล่าเรื่องราวของชนเผ่าซาโรในประเทศปาปัวนิวกินี เผ่าที่มีความเชื่อและพิธีกรรมแปลกประหลาด
อย่างดีไซน์หน้ากากดินโคลนสุดหลอนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ต้นแบบที่มีลักษณะแบบเดียวกับหน้ากาก Princess Mononoke และยังนำเสนอเรื่องราวเส้นแบ่งระหว่างโลกมนุษย์และเทพเจ้าเหมือนกันอีกด้วย


ความสำเร็จของเรื่องนี้ ทำให้ทีมงานของ Studio Ghibli ต้องร่วมใจจารึกกระบวนการทำงานที่ทุ่มเทที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยการสร้างสารคดีบอกเล่าเบื้องหลังงานการทำงานในแอนิเมชันเรื่องนี้ ที่มีชื่อว่า Princess Mononoke: How the film was conceived โดยสารคดีที่มีความยาวถึง 6 ชั่วโมง !
ผลงานที่ Hayao Miyazaki วาดเองด้วยมือกว่า 80,000 ภาพ

Princess Mononoke ถูกพัฒนาเป็นแอนิเมชันด้วยเทคนิคการวาดภาพด้วยมือลงบนแผ่นเซลล์แบบ Traditional ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้มีจำนวนแผ่นเซลล์ทั้งสิ้นกว่า 144,000 แผ่น โดยมีประมาณ 80,000 แผ่น ที่ Hayao Miyazaki ลงมือวาดด้วยตนเอง ! ทั้งคิดดีไซน์ตัวละครไปจนถึงฉากแบ็กกราวด์ ใช้เทคนิคสีน้ำสวยงาม รังสรรค์ผืนป่าเหนือจินตนาการ
แอนิเมชันมีการพัฒนางานอยู่นานถึง 3 ปี โดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกมาเป็นตัวเสริมเพิ่มมิติการเคลื่อนไหว ซึ่งในสมัยนั้นถูกนับว่าเป็นการทำภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวแถวหน้าของวงการที่ผสานสองเทคนิคเข้าด้วยกันได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์

นี่จึงเป็นผลงานที่ใช้งบประมาณการผลิตที่สูงที่สุดในตลอดกาลของ Studio Ghibli (ประมาณ 2.35 พันล้านเยน) มากถึงขั้นเกือบทำให้สตูดิโอล้มละลาย ความทุ่มเทอย่างบ้าคลั่งในครั้งนี้กินพลังมากจนถึงขั้นฮายาโอะพูดออกมาเลยว่านี่อาจเป็นการทำแอนิเมชันเรื่องสุดท้ายของเขา
แต่เพราะผลงานอย่าง Princess Mononoke นี้เองนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เคยเป็นอดีตแอนิเมชันที่รายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลต่อภาพยนตร์เรื่องต่อๆ มาของสตูดิโอฮิตติดลมบนทั้ง Spirited Away หรือ Howl’s Moving Castle รวมถึงผลงานอีกมายนับแต่นั้น
ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ set up นิยามความเป็น Studio Ghibli อย่างแท้จริง อย่างที่เราได้เห็นการสอดแทรกประเด็นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในแอนิเมชันต่อมาหลายๆ เรื่อง
‘Kodama’ จิตวิญญานแห่งป่า ความเชื่อที่มีอยู่จริง

จุดขายของ Studio Ghibli คือการสร้างคาแรกเตอร์ที่เป็นไอคอนิก ทำให้ผู้ชมสามารถเห็นปุ้บรู้ปั๊บว่าเจ้าตัวนี้มาจากเรื่องไหน
น้องตัวจิ๋วภายในเรื่อง Princess Mononoke มีชื่อว่า ‘Kodama’ ถูกกล่าวถึงภายในเรื่องว่าเป็นจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ ว่ากันว่า Kodama จะเลือกสิงอยู่ตามต้นไม้ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี หากใครก็ตามเข้าไปตัดต้นไม้ในป่า จะทำให้ประสบพบเจอกับลางร้าย
Kodama จึงเป็นเหมือนตัวแทนของการคุ้มครองผืนป่า ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นเองก็มีการตั้งศาลเจ้าเคารพและบูชา Kodama ด้วยเช่นกัน



ความเชื่อดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากความเชื่อดั้งเดิมของศาสนา ‘ชินโต’ ว่าด้วยเรื่องของการมีจิตวิญาณอยู่ในทุกสรรพสิ่ง โดยในชินโตจะเรียกสิ่งนี้ว่า Kami ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ Kodama แต่ยังรวมไปถึง เทพที่เป็นสรรพสัตว์ที่ปรากฏภายในเรื่องด้วย อาทิ เทพกวาง เทพหมาป่า เทพลิง และเทพหมูป่า
โลกยุค ‘มุโรมาจิ’ การมาถึงของโลกยูโทเปีย

Hayao Miyazaki เคยให้สัมภาษณ์ว่า โลกภายในเรื่องของ Princess Mononoke นั้นมาจาก ‘ยุคมุโรมาจิ’ (ค.ศ. 1336–1568) เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของมนุษย์ต่อธรรมชาติ เกิดความโกลาหลในสังคม ผู้คนเห็นว่าการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องงมงาย เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่มีกับมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น เป็นยุคสมัยที่ถูกนิยามว่า โลกทัศน์แบบที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง

เมืองเหล็ก หรือ Tataraba เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด การบุกรุกป่าเพื่อสร้างโรงงานโดยใช้แร่เหล็กจากธรรมชาติในการผลิตอาวุธ เพื่อใช้ทำสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง กลายเป็นภาพสะท้อนอย่างตรงไปตรงมาที่ทรงพลังของความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยนั้น
สอดคล้องกับแนวคิดของ ‘โลกยูโทเปีย’ โลกที่มนุษย์สนใจเพียงแค่ผลประโยชน์ มีความเชื่อในอุดมคติเดียวกัน แนวคิดเหล่านี้ค่อย ๆ แพร่กระจายจนกลายเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อถือร่วมกัน



ซึ่งภายในเรื่อง Princess Mononoke ผู้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการสร้างโรงงาน และมองว่าผืนป่าไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะในโลกภายนอกมนุษย์ต่างทำสงครามแย่งชิงดินแดน ใครได้เปรียบก็สามารถปกป้องผู้คนของตนเองได้มากที่สุด กลายเป็นเหตุผลให้พวกเขาเริ่มละเลยธรรมชาติ และไม่ยำเกรงแม้แต่อำนาจของเทพเจ้าอีกต่อไป

การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่บนจอภาพยนตร์
Princess Mononoke กำลังกลับเข้าฉายอีกครั้งในระบบ IMAX และในโรงภาพยนตร์ระบบปกติ พร้อมการรีมาสเตอร์ความละเอียดภาพระดับ 4K เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Studio Ghibli

การรีมาสเตอร์ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ยกระดับด้านเทคนิค แต่ยังสะท้อนความตั้งใจของ Ghibli ในการอนุรักษ์และส่งต่อผลงานคลาสสิก ให้กับคนรุ่นใหม่ ด้วยประเด็นสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยังคงร่วมสมัย และทรงพลังแม้ผ่านมาเกือบ 30 ปี
เป็นอีกหนึ่งการตอกย้ำถึง ความยิ่งใหญ่ของ Hayao Miyazaki และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูผลงานอื่น ๆ ของ Studio Ghibli ให้กลับมาโลดแล่นบนจอใหญ่อีกครั้ง ฉายในไทยตั้งแต่วันที่11 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์