Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

ต้นคริสต์มาสมาจากอียิปต์ งั้นหรือ? รวมเรื่องที่คุณอาจไม่รู้ของต้นคริสต์มาส

ในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองช่วงเดือนธันวาคม บรรดาห้างร้านและท้องถนนต่างๆ ทั่วโลก จะถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟ ของตกแต่ง เคล้าคลอไปด้วยเสียงเพลงของวันคริสต์มาส และจุดสำคัญที่เป็นไฮไลท์ของงานเทศกาลนี้ก็คือ “ต้นคริสต์มาส” นั่นเอง

ในภาพจำของคนเอเชียบ้านเราที่มีต่อต้นคริสต์มาสนั้นส่วนใหญ่ก็คือ ต้นสนต้นใหญ่ ห้อยของต่างๆเต็มต้น พันไปด้วยไฟสีวิบวับ และบนยอดมีดาวดวงใหญ่ แต่คงมีน้อยคนมากที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเดิมทีมันไม่ใช่ต้นสน และ เหล่าบรรดาของตกแต่งนั้นไม่ได้แค่แขวนไว้แค่สวยๆ แต่มันมีที่มาและความหมายซ่อนอยู่


ต้นคริสต์มาสมีรากฐานมาจาก “อียิปต์”

ความเชื่อแบบต้นคริสต์มาสนั้นมีมาตั้งแต่ยุคก่อนที่จะมีศาสนาคริสต์ ในสมัยโบราณพระเจ้าจะถูกเชื่อมโยงกับพระอาทิตย์ ซึ่งในฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าถูกตีความว่าเป็นช่วงที่พระเจ้าป่วย และ อ่อนแอ

การแขวน และ ตกแต่งบ้านด้วยต้นไม้ตระกูล Evergreen (ต้นไม้ที่จะเขียวตลอดทั้งปีแม้จะผ่านฤดูหนาวที่ยาวนาน) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าฤดูร้อนและพระเจ้าจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง นอกจากนี้ในหลายประเทศก็เชื่อว่าต้นไม้ตระกูลนี้จะขับไล่ ภูตผี ปิศาจ และ โรคร้าย อีกด้วย

ในวัฒนธรรมอียิปต์โบราณที่บูชาเทพเจ้าราห์ เทพแห่งพระอาทิตย์ผู้มีหัวเป็นเหยี่ยว ชาวอียิปต์จะแต่งบ้านด้วยต้นปาล์มและต้นปาปิรุสสีเขียวในช่วงก่อนฤดูหนาวที่ยาวนานจะสิ้นสุดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะเหนือความตายของเทพเจ้าราห์

ส่วนชาวโรมันจะเรียกช่วงเวลาเฉลิมฉลองนี้ว่า “Saturnia” เพื่อเป็นเกียรติแก่ Saturn เทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม เพราะหลังจากช่วงเวลานี้ผลิตผลต่างๆ จะกลับมาออกดอกออกผลอีกครั้ง และในเทศกาลนี้พวกเขาก็จะแต่งบ้านและวิหารต่างๆ ด้วยต้นไม้ตระกูล Evergreen เช่นกัน

ในยุโรปทางตอนเหนือ เหล่าดรูอิดที่เป็นนักบวชของชาวเซลติกโบราณก็มักจะตกแต่งวิหารด้วยต้นไม้ตระกูล Evergreen เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ส่วนชาวไวกิ้งในแถบสแกนดิเนเวียก็จะเคารพ Mistletoe พืชตระกูล Evergreen เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการตายของ Baldur เทพเจ้าแห่งแสง


ต้นคริสต์มาสเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน?

หลายคนคงคิดว่าต้นคริสต์มาสน่าจะมาจากทางยุโรปเหนือ แต่จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นครั้งแรกที่ “ประเทศเยอรมนี” ต่างหาก

ต้นคริสต์มาสเกิดขึ้นครั้งแรกจากการเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากในละครเรื่อง อดัม กับ อีฟ ในปี ค.ศ. 1419 ทางตะวันตกของเยอรมนี โดยทำมาจากต้น Fir ต้นไม้ตระกูล Evergreen โดยแขวนแอปเปิลเอาไว้ซึ่งเป็นตัวแทนของ ‘ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว‘ ในสวนเอเดน นอกจากนี้ก็ยังแขวน เวเฟอร์ ขนมปังขิง และ ตกแต่งด้วยขนสัตว์ ฟาง ถั่ว และ เพรทเซล เอาไว้ด้วย

โดยการแสดงนี้จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 24 ธันวาคม วันฉลองของ อดัม และ อีฟ ซึ่งบังเอิญตรงกับวันคริสต์มาสอีฟพอดี และ ชาวเยอรมันในยุคนั้นนิยมก็จัดต้นไม้แบบนี้ไว้ในบ้านในวันนี้เช่นกัน


ทำไมต้นคริสต์มาสถึงเป็นทรงสามเหลี่ยม แล้วทำไมถึงมีแค่ต้นเดียวในบ้าน ?

นอกจากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วที่ตั้งอยู่ในบ้านแล้ว ในห้องเดียวกันก็จะมีชั้นคริสต์มาสพีระมิดวางเอาไว้ด้วยเสมอ โดยจะเป็นชั้นทำจากไม้หลายชั้นที่ชั้นด้านบนจะเล็กลงเรื่อยๆ เป็นทรงสามเหลี่ยมขึ้นไปคล้ายๆ พีระมิด และบนชั้นนั้นก็จะตกแต่งด้วย ตุ๊กตาคริสต์มาส ต้นไม้ Evergreen เทียน และ ดาวต่างๆ

ต่อมาในศตวรรษที่ 16 คริสต์มาสพีระมิด และ ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว ก็ได้ถูกรวมกันจนกลายเป็นต้นคริสต์มาสที่มีฐานกว้างปลายยอดเล็กรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมเหมือนพีระมิด และ แขวนห้อยของประดับประดามากมาย หน้าตาเหมือนต้นคริสต์มาสที่เราคุ้นเคยกันในทุกวันนี้

เนื่องจากความต้องการที่พุ่งขึ้นสูงมากส่งผลให้ต้นไม้ตระกูล Evergreen อย่าง ต้น Fir ต้น Spruce และต้นสน ถูกตัดเป็นจำนวนมาก ทำให้ในปี 1530 แคว้น Alsace ได้ออกกฎให้มีการจำกัดให้หนึ่งบ้านมีต้นคริสต์มาสได้เพียงต้นเดียว ซึ่งนี่อาจเป็นที่มาว่าทำไมในหนึ่งบ้านหรือตามงานต่างๆ ต้นคริสต์มาสมักจะมีแค่ต้นเดียวเสมอ


ต้นกำเนิดของตกแต่งต้นคริสต์มาส

อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนแรกแล้วว่าต้นคริสต์มาสนั้นมีที่มาจากต้นไม้แห่งสวนเอเดนตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ทำให้ของตกแต่งยุคแรกนั้นจะเป็นแอปเปิลเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าเป็นที่มาของสีแดงที่เราใช้ในวันคริสต์มาส เหล่าขนมรูปทรงต่างๆ  ที่ทำจากแป้ง พวกเวเฟอร์ คุกกี้ ขนมปังขิง ซึ่งขนมเหล่านี้เป็นตัวแทนของขนมปังหรือร่างกายของพระเยซูที่ใช้ในพิธีศีลมหาสนิทนั่นเอง

นอกจากนี้ก็ยังมีการตกแต่งต้นคริสต์มาสด้วยถั่ว ผลไม้พวกเบอร์รี่ และพืชพรรณต่างๆ ซึ่งจะแล้วแต่ผลผลิตและสถานะของแต่ละครอบครัว โดยเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและการจะกลับมาอีกครั้งของฤดูใบไม้ผลิ

หลังจากที่ใช้ของกินจริงๆ แขวนบนต้นคริสต์มาสมาหลายร้อยปี ในช่วงปลายของศตวรรษที่ 19 ของตกแต่งต้นคริสต์มาสหน้าตาแบบที่เราคุ้นเคยก็ค่อยๆ ทะยอยถือกำเนิดขึ้นในเมืองช่างแก้วเล็กๆ ที่ชื่อ Lauscha ในเยอรมนี โดย Hans Greiner ซึ่งของตกแต่งในช่วงแรกนั้นจะทำจากแก้วเป่า เป็นลูกปัดแก้วร้อยกันยาวๆ เป่าเป็นรูปทรงผลไม้ และ ถั่ว ตามของตกแต่งยุคดั้งเดิม และเป็นที่มาของลูกบอลกลมๆ หลายขนาดที่ห้อยบนต้นคริสต์มาส

หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แก้วตกแต่งก็ได้พัฒนาให้มีหลายรูปแบบมากขึ้นทั้งรูปร่าง สีสัน และเทคนิค ตั้งแต่เป็น ซานต้าครอส นางฟ้า นก และ สัตว์ต่างๆ ตามวัฒนธรรมคริสต์มาสของเยอรมัน

จนในปี 1880 บริษัท Woolworth’s ก็ได้นำเข้าไปขายในอเมริกา ทำยอดขายได้ถล่มทลายตลอดศตวรรษที่ 20 และทำให้เกิดผู้ผลิตของตกแต่งต้นคริสต์มาสขึ้นมาอีกหลายบริษัท ทำให้เกิดของตกแต่งขึ้นมาอีกมากมายและผลิตในวัสดุใหม่ๆ ทั้งเงิน และ พลาสติก แบบที่เราใช้ในปัจจุบัน


ไฟต้นคริสต์มาสมาจากไหน?

เรื่องนี้จริงๆ แล้วไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เป็นที่เชื่อกันกว้างขวางว่ามีการแขวนไฟบนต้นคริสต์มาสครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 16 โดย “มาร์ติน ลูเธอร์” (ไม่ใช่ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง นะ) นักบวชชาวเยอรมัน ผู้นำการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายคอทอลิคจนแยกออกมาเป็นนิกายลูเธอแรนต้นกำเนิดของนิกายโปรเตสแตนท์

โดยเชื่อว่าเกิดขึ้นจากในขณะที่ มาร์ติน ลูเธอร์ กำลังเดินกลับบ้านตอนกลางคืนในฤดูหนาว เขาได้เห็นแสงดาวระยิบระยับท่ามกลางต้นไม้แล้วเกิดความประทับใจ ทำให้เขาอยากนำภาพที่ได้เห็นไปให้ครอบครัวของเขาได้เห็นด้วย เขาจึงได้เริ่มเอาเทียนมาแขวนไว้บนกิ่งของต้นคริสต์มาสที่วางไว้กลางบ้านของเขา

ส่วนไฟต้นคริสต์มาสที่เป็นหลอดไฟฟ้าแบบที่เราคุ้นเคยกันเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1880 ในห้องทดลองของบิดาผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรก “โธมัส เอดิสัน” นั่นเอง โดยเขาได้สร้างหลอดไฟที่เป็นสายต่อกันและพาดไปมาในห้องทดลองของเขาในแคลิฟอร์เนีย

ถึงเอดิสันจะเป็นคนคิดไฟสายต่อกัน แต่คนแรกที่คิดเอามาพันรอบต้นคริสต์มาสนั้นคือเพื่อนและหุ้นส่วนของเขา “เอ็ดเวิร์ด เอช จอห์นสัน” ในปี 1882 ที่บ้านของเขาเองในนิวยอร์ค โดยเป็นหลอดไฟเล็กๆ 80 ดวง สีแดง ขาว และ น้ำเงิน เพราเขาคิดว่าการใช้เทียนเหมือนที่เคยทำมานั้นเสี่ยงต่อการไฟไหม้มากกว่าหลอดไฟ ซึ่งต่อมาไฟคริสต์มาสก็ได้เข้าสู่สายการผลิตจริงๆ ในช่วงปี 1890 แต่ก็ใช้กันแค่ในกลุ่มคนที่มีฐานะเท่านั้น และเข้าสู่บ้านคนฐานะทั่วไปใน 20 ปีต่อมา


พู่ประดับ ตัวบอกสถานะทางสังคม

พู่ฟูยาวๆ ที่เราใช้ตกแต่งต้นคริสต์มาสและงานเทศกาลต่างๆ ในทุกวันนี้ นั้นเคยเป็นตัวบอกสถานะทางสังคมมาก่อน

ในปี 1610 ชาวเยอรมันได้เริ่มมีการเอาเส้นดิ้นเงินมาพันรอบต้นคริสต์มาส โดยแร่เงินจัดเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสมัยนั้น นอกจากเพื่อแสดงความร่ำรวยแล้ว แต่เส้นเงินที่พาดไปมานั้นจะช่วยสะท้อนแสงจากเทียนที่แขวนอยู่รอบๆ ต้นคริสต์มาสซึ่งทำให้เกิดการใช้วัสดุที่ถูกลงมาทดแทน เช่น ทองแดง หรือ ดีบุก สำหรับครอบครัวที่มีฐานะน้อยกว่า

ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้ง เงิน ทองแดง และ ดีบุก กลายเป็นวัสดุที่ขาดแคลน ทำให้ยุคนั้นมีการเปลี่ยนไปใช้อลูมิเนียมซึ่งมาพบภายหลังว่าเป็นวัสดุไวไฟ และ ตะกั่ว ที่ทราบต่อมาว่าสามารถกลายเป็นพิษได้แทน ซึ่งในปัจจุบันนี้พู่ประดับส่วนใหญ่มักถูกทำด้วย PVC แทนแล้ว


ความหมายและที่มาของประดับต่างๆ

ดาวบนยอดต้นคริสต์มาส = ดวงดาวที่สว่างขึ้นมาตอนพระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮม เมืองทางตอนใต้ของนครเยรูซาเลม

ลูกกวาดรูปไม้เท้า = ไม้เท้าต้อนแกะ หนึ่งในสัญลักษณ์ของพระเยซู ผู้เชื่อว่าเป็นผู้ชี้นำของเหล่ามนุษย์หรือลูกแกะที่หลงทาง ซึ่งขนมนี้ถูกคิดค้นขึ้นราวๆ ปี 1670 โดยทำมาเพื่อให้เด็กๆ อยู่นิ่งกับที่ในช่วงพิธีคริสต์มาส ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องเป็นเส้นสีแดงนั้นเชื่อว่ามาจากเลือดของพระเยซู

นางฟ้า = เหล่าเทวดาที่ปรากฎตัวเพื่อประกาศถึงการประสูติของพระเยซู, เทวทูตกาเบรียล ทูตสวรรค์ที่มาบอกพระแม่มารีว่าจะเป็นผู้ให้กำเนิดพระเยซู เป็นคอนเซปเรื่องที่ว่าเหล่าเทวดาคอยคุ้มครองและปกป้องมนุษย์เราอยู่เสมอ

ลูกบอลคริสต์มาส = แอปเปิลที่อยู่บนต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วในสวนเอเดนตามเรื่องของอดัมและอีฟ, เบอร์รี่ และ ผลไม้ต่างๆ สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และการจะกลับมาอีกครั้งของฤดูใบไม้ผลิ

ถุงเท้า = การแอบลอดปล่องควันเอาเหรียญทองมาใส่ถุงเท้าที่ตากไว้หน้าเตาผิงของครอบครัวที่ยากจนของนักบุญนิโคลัส (ต้นกำเนิดซานตาคลอส)

ระฆัง และ กระดิ่ง = เสียงที่ใช้ในการเรียกแกะ, การสั่นกระดิ่งมือเรียกนักบวชสวดมนต์ในสมัยโบราณ, ใช้ในวันสำคัญทางศาสนา เช่น อีสเตอร์ หรือ คริสต์มาส และ เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้โดยนักร้องประสานเสียงในช่วงเทศกาลคริสต์มาส


เขียนโดย รวีศิลป์ อัศวกิตติประภา

source:

https://www.history.com/topics/christmas/history-of-christmas-trees
https://www.britannica.com/plant/Christmas-tree
https://time.com/5736523/history-of-christmas-trees/
https://en.wikipedia.org/wiki/Christmas_ornament
https://en.wikipedia.org/wiki/Christmas_decoration
https://christmashq.com/decorations/ornaments/

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save