52Views

ความงดงามของความหลากหลาย ในงานศิลป์จากวัฒนธรรมรอบโลก
‘ความหลากหลาย’ คือหนึ่งในคุณลักษณะสำคัญของมนุษย์ ซึ่งนอกจากจะสะท้อนความเป็นจริงของสังคมแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราจินตนาการถึงโลกที่เปิดกว้างและไม่ยึดติดอยู่กับกรอบเดิมๆ โดยเฉพาะเรื่องของอัตลักษณ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวตนของมนุษย์ในมิติต่างๆ และยังเชื่อมโยงถึงสถานะทางสังคม ค่านิยม และวัฒนธรรมของแต่ละยุคสมัย
เรื่องเล่าและความเชื่อจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลกหรือ ‘ปกรณัม’ มักเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้จินตนาการถึงอัตลักษณ์ที่ไม่ตายตัว ผ่านรูปแบบของเทพเจ้า หรือตำนานที่ตั้งคำถามและท้าทายต่อความเข้าใจเรื่องตัวตนในแต่ละสังคม

UOB Art Around ขอชวนมาทำความรู้จักกับเรื่องเล่าของเหล่าเทพเจ้า ผ่านงานศิลปะที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้สำรวจความเชื่อมโยงระหว่างอัตลักษณ์และศิลปวัฒนธรรมในบริบทของความเชื่อต่างๆ ทั่วโลก พร้อมค้นพบว่า ความหลากหลายนั้นไม่ใช่สิ่งแปลกแยก แต่คือความงดงาม และคือรากฐานของความเป็นมนุษย์ที่เราทุกคนมีร่วมกัน
โดยขอหยิบเอาศิลปะจากปกรณัมต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของ 3 วัฒนธรรมมาเล่าให้ฟัง ประกอบไปด้วย
- กรีกโบราณ: เทพปกรณัมกรีก (Greek Mythology) แสดงให้เห็นถึงมิติของความหลากหลายทางเพศในรูปแบบที่ลึกซึ้งและซับซ้อน
- โลกภารตะ: ในดินแดนเอเชียใต้ สะท้อนผ่าน ‘แนวคิดศักติ’ (Shaktism) ซึ่งเชื่อในพลังของเพศแม่
- ดินแดนอาทิตย์อุทัย: แม้ว่าเทพเจ้าสำคัญที่ในหลายวัฒนธรรมให้ความสำคัญในฐานะผู้ให้แสงสว่าง ปัญญา หรือพลังชีวิต นั่นคือ ‘สุริยเทพ’ แต่ในซีกโลกตะวันออกมีวัฒนธรรมที่แสดงภาพสุริยเทพเป็นสตรี หรือ ‘เทพี’ (Goddess) นั่นคือ ‘ญี่ปุ่น’

แกนิมีด (Ganymede) – กรีกโบราณ
Ganymede with Jupiter’s Eagle, 1817, Bertel Thorvaldsen
หนึ่งในเรื่องราวคลาสสิกของปกรณัมกรีก นั่นคือเรื่องราวของ ‘แกนิมีด’ (Ganymede) เจ้าชายแห่งเมืองทรอย (Troy) บุตรชายคนเล็กของกษัตริย์ทรอสแห่งดาร์ดาเนีย (Tros of Dardania)
มหากวีโฮเมอร์ (Homer) ได้พรรณาเกี่ยวกับแกนิมีดเอาไว้ว่า เป็นผู้ที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในเหล่ามนุษย์ทั้งปวง จึงเป็นเหตุให้แกนิมีดถูกลักพาตัวไปโดยเทพ ‘ซูส’ (Zeus) ขณะที่กำลังต้อนแกะอยู่ริมเชิงเขาไอดาในแคว้นไฟรเจีย
ซูสจำแลงร่างกลายเป็นอินทรียักษ์ โฉบเอาตัวแกนิมีดไปเป็นผู้รับใช้บนเขาโอลิมปัส ทำหน้าที่เป็นผู้ถวายพระสุธารส (Cupbearer) แทนที่เทพีเฮบี (Hebe) เทพีแห่งความเยาว์วัย ธิดาของซูสและฮีรา ทั้งยังเป็นหนึ่งในมนุษย์ไม่กี่คนที่ได้รับประทานพรให้มีชีวิตอมตะ รับใช้เหล่าเทพอยู่บนสรวงสวรรค์


หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ ‘แกนิมีด’ ซึ่งเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัสบดีหรือ Jupiter ซึ่งเป็นชื่อภาษาโรมันของเทพซูส เป็นหนึ่งใน ‘ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ’ (Galilean moons) ที่ค้นพบโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) เมื่อ 7 มกราคม 1610 รวมถึงยังใช้อธิบาย ‘กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ’ (Aquarius) หนึ่งใน 12 กลุ่มดาว ‘จักรราศี’ (Zodiac) ซึ่งสื่อถึงแกนิมีดในฐานะ ‘ผู้รินน้ำ’ ให้แก่เหล่าปวงเทพเช่นกัน สะท้อนถึงการอธิบายดาราศาสตร์ และปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ผ่านความเชื่อและวัฒนธรรม
ตำนานของแกนิมีดและซูส จึงถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์และถ่ายทอดผ่านงานศิลปะอยู่เสมอ เนื่องจากสะท้อนค่านิยมของความสัมพันธ์ชาย-ชายในสังคมกรีกโบราณ ที่ปรากฎในงานศิลปะตั้งแต่ยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) และยุคบาโรก (Baroque) ว่าเป็นเรื่องปกติและมีโครงสร้างทางสังคมรองรับ โดยพิจารณาผ่านบริบทของอำนาจและสถานภาพ มองถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญา
อย่างงานของมิเกลันเจโล (Michelangelo) และปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens) โดยเฉพาะยุคนีโอคลาสสิก (Neoclassicism) ที่มีการรื้อฟื้นอุดมคติของโลกกรีกโบราณขึ้นมาใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18

ไปจนถึงประติมากรรม ‘แกนิมีดและนกอินทรีแห่งจูปิเตอร์’ (Ganymede with Jupiter’s Eagle) โดยประติมากรชาวเดนมาร์ก เบอร์เทิล ธอร์วาล์ดเซ็น (Bertel Thorvaldsen) สะท้อนรสนิยมแบบศิลปะยุคคลาสสิกของกรีก ความงามของชายหนุ่ม ความสมจริงของกายวิภาค และการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านรูปสลักหิน
เฮอร์มาโฟรดิตัส (Hermaphroditus) – กรีกโบราณ
Borghese Hermaphrodite, c. 500, Roman copy
อีกหนึ่งเรื่องราวเด่นในปกรณัมกรีกคือตำนานของ ‘เฮอร์มาโฟรดิตัส’ (Hermaphroditus) บุตรของเทพ ‘เฮอร์มีส’ (Hermes) เทพแห่งการสื่อสารและการเดินทาง และเทพี ‘อะโฟรไดต์’ (Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงาม ซึ่งทั้งสองเป็นเทพโอลิมเปียน (Twelve Olympians) เทพเจ้าหลักในความเชื่อของกรีกโบราณ
ด้วยรูปโฉมที่งดงาม จึงเป็นที่หมายปองของนางไม้ นามว่า ‘ซัลเมซิส’ (Salmacis) ซึ่งพยายามเข้าหาและล่อลวง แต่ถูกปฏิเสธ จนครั้งหนึ่ง ขณะเฮอร์มาโฟรดิตัสกำลังลงเล่นน้ำในสระ นางซัลเมซิสจึงกระโดดเข้าไปกอดรัดเขาด้วยความเสน่หา เธออธิษฐานขอต่อเทพเจ้าให้เธอได้รวมร่างกับเขาตลอดไป ร่างของทั้งสองรวมกันกลายเป็นร่างเดียวที่มีทั้งเพศชายและหญิง


ต่อมาชื่อ Hermaphrodite จึงถูกใช้ในการอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ถึงสัตว์ที่มีอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งเพศผู้และเพศเมียในตัวเดียวกันโดยธรรมชาติ เช่น หอยทาก ไส้เดือนดิน ปลาการ์ตูน จากต้นรากของคำภาษากรีก ที่เกิดจากการนำรวมเอาชื่อเทพเจ้าทั้งชายและหญิงมาต่อกันจนเกิดเป็นคำใหม่
งานศิลปะชิ้นสำคัญที่ถ่ายทอดอุดมคติแบบกรีกโบราณ ผ่านตำนาน ‘เฮอร์มาโฟรดิตัส’ ได้อย่างดงามนั่นคือ ประติมากรรม ‘บอร์เกเซ เฮอร์มาโฟรไดต์’ (Borghese Hermaphrodite) ซึ่งขุดค้นพบในโรงอาบน้ำแห่งไดโอคลิเชียน (Baths of Diocletian) ใจกลางกรุงโรม โดยเป็นงานที่ชาวโรมันทำจำลองต้นแบบจากสมัยกรีก

ประติมากรรมหินอ่อนนี้ หากมองจากด้านหลัง จะเห็นเป็นรูปสตรีนอนเปลือย แสดงลักษณะความงามของสัดส่วนร่างกายแบบเพศหญิง ในขณะที่เมื่อมองจากอีกฝั่ง จะปรากฎเป็นเครื่องเพศของผู้ชาย ทำให้เห็นถึง ‘ลูกเล่น’ ที่ประติมากรออกแบบให้เล่าเรื่องปกรณัมได้อย่างแยบยล
พระอรรธนารีศวร (Ardhanarishvara) – โลกภารตะ
Ardhanarishvara, c. 1100, Tamil Nadu, India
ตำนานสำคัญของแนวคิดศักติ เล่าเรื่อง ‘พระอรรธนารีศวร’ (Ardhanarishvara) เทพผู้เกิดจาก ‘รูปรวมเพศ’ (Androgynous) โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งทางขวามือเป็นชาย คือพระศิวะ ส่วนฝั่งซ้ายปรากฏเป็นนารีผู้งดงาม คือ พระแม่ปารวตี โดยพระนามมาจาก ‘อรรธ’ แปลว่าครึ่ง และ ‘นารี’ แปลว่าผู้หญิง รวมกันจึงได้ ‘อรรธนารีศวร’ แปลว่า เทพเจ้าผู้มีครึ่งหนึ่งเป็นสตรี
ความน่าสนใจคือเมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านงานศิลปะ อย่างเทวรูป ‘พระอรรธนารีศวร’ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองเจนไน ประเทศอินเดีย เป็นศิลปะแบบโจฬะ ที่สะท้อนให้เห็นถึงยุคทองของศิลปะแบบอินเดียใต้เมื่อกว่า 900 ปีก่อน โดยมีลักษณะครึ่งชายหญิงอย่างชัดเจนแต่กลับกลมกลืน

เทวรูปยืนในท่าตริภังค์ (ยืนเอียงสะโพก) บนฐานดอกบัว ซีกขวามีมวยผมแบบนักบวช ปรากฏดวงตาที่สามกล้างหน้าผาก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะ หน้าอกและทรวดทรงแบบบุรุษ รวมถึงนุ่งหนังเสือสั้นเหนือเข่า ซีกซ้ายสวมมงกุฏทรงสูง มีหน้าอกนูนและทรวดทรงแบบสตรี สวมกำไลข้อมือ และผ้านุ่งที่มีจีบยาวกรอมเท้า
และ ‘พระอรรธนารีศวร’ อีกหนึ่งองค์สำคัญที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดอุบลราชธานี มีอายุราว 1,400 ปีมาแล้ว โดยแสดงภาพเทพเจ้าที่มีลักษณะแบ่งครึ่งอย่างชัดเจนนั่นคือ ซีกขวามีหนวด หน้าอกมีกล้ามเนื้อแบบบุรุษ นุ่งผ้าสั้น ในขณะที่ซีกซ้าย ใบหน้าอ่อนหวาน มีหน้าอกนูนแบบสตรี และนุ่งผ้านุ่งยาวกรอมเท้า


เทพีอะมาเตระสุ (Amaterasu) – ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Amaterasu emerges from the Heavenly Rock Cave, 1856, Utagawa Kunisada
ตามความเชื่อของศาสนาชินโต ‘เทพีอะมาเตระสุ’ (Amaterasu) ถือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ และความชอบธรรมทางการปกครอง เนื่องจากเชื่อว่าจักรพรรดิของญี่ปุ่นสืบเชื้อสายมาจาเทพีองค์นี้
ความน่าสนใจคือในวัฒนธรรมปิตาธิปไตย (Patriarchy) ของสังคมญี่ปุ่น กลับเชิดชูเทพีให้เป็นเทพเจ้าสูงสุด แสดงให้เห็นถึงบทบาทของสตรีในฐานะผู้นำในวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณ ตามความเชื่อแบบชินโต ‘คามิ’ (Kami) หรือเทพเจ้า มักไม่มีการระบุเพศอย่างชัดเจน หรือมีความเป็นกลาง ไม่ได้มีมุมมองเรื่องเพศแบบตะวันตกที่แยกชายหญิงชัดเจน โดยเฉพาะกับเทพเจ้าที่ผูกขาดกับอำนาจอย่างผู้ปกครองอย่างเทพีอะมาเตระสุ

จึงมีข้อสันนิษฐานว่าตำนานถูกเขียนให้เป็นชายหรือหญิงตามรัชสมัย หากในช่วงเวลานั้นผู้ปกครองเป็น ‘จักรพรรดินี’ อาจถูกเขียนให้อยู่ในลักษณะของเทพี สะท้อนให้เห็นถึงอดีตที่ผู้หญิงมีบทบาทในการเป็นผู้นำในฐานะ ‘ร่างทรง’ หรือผู้สื่อสารกับเทพเจ้า อย่างเรื่องราวของ ‘จักรพรรดินีจิงงู’ (Jingū) ซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์
ในงานศิลปะก็เช่นกัน แม้ในศิลปะญี่ปุ่นจะไม่นิยมสร้างรูปเคารพของเทพเจ้า งานภาพพิมพ์ไม้ของ ‘อูตางาวะ คุนิซาดะ’ (Utagawa Kunisada) ในปี 1856 แสดงภาพตอนหนึ่งในปกรณัมชินโต เป็นภาพของเทพีอะมาเตระสุ ปรากฎพระวรกายออกจากถ้ำอามะโนะอิวาโตะ ในภูษาสีขาวแดง และรัศมีแฉกที่เปล่งออกมาจาพระเศียร สื่อถึงลำแสงของดวงอาทิตย์ รายล้อมไปด้วยเหล่าเทพเจ้า

ภาพต่างๆ ถูกตัดเส้น และจัดวางทับซ้อนกันอย่างมีมิติ แม้ภาพจะมีสามตอน แต่ก็มีความลงตัวเมื่อพิจารณาแยกกัน โดยมีรัศมีของเทพีที่เชื่อมโยงภาพเข้าด้วยกัน ถือเป็นงานภาพพิมพ์ชิ้นเอกในปลายสมัยเอโดะ
พระมหาไวโรจนะ (Vairocana) – ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Dainichi Nyorai (Vairocana), 12th Century, Nezu Museum
ที่น่าสนใจคือในยุคโบราณของญี่ปุ่น หลังการเข้ามาของพุทธศาสนาแบบมหายาน แนวคิดเรื่องเทพเจ้าของชินโต ได้หลอมรวมเข้ากับพระพุทธเจ้าของมหายาน อย่างเทพีอะมาเตระสุ ถูกมองว่างเป็น ‘นิรมาณกาย’ หรือร่างจำแลงของ ‘พระมหาไวโรจนะ’ (Vairocana) หรือไดนิชิ เนียวไร (Dainichi Nyorai)

ซึ่งสถิตอยู่ ณ ทิศกึ่งกลาง และเป็นพระพุทธเจ้าผู้แผ่รัศมีไปทั่วจักรวาล บันดาลรูปกายเป็นเทพีมาโปรดมนุษย์โลก เพื่อทำให้มนุษย์โลกสามารถเข้าถึงได้ง่าย สอดคล้องกับงานศิลปะญี่ปุ่นที่มักแสดงรูปพระมหาไวโรจนะ โดยผนวกเอาความงามของบุรุษและสตรีเข้าด้วยกัน เพื่อไม่ให้ดูลำเอียงไปทางเพศใดเพศหนึ่ง ถือเป็นหนึ่งในความหลากหลายที่ซับซ้อนผ่านความเชื่อและศิลปะของญี่ปุ่น
อยากอ่านเรื่องอาร์ตแบบลึกๆ ตามไปที่ UOB Art Around ใน Facebook หรือ Website ได้เลย !