Skip to content Skip to sidebar Skip to footer

เสพกลิ่นอายยุค ‘60s ของซีรีส์ ‘Shine’ กับแฟชั่น สถาปัตยกรรม และความฝันแบบอเมริกัน


‘Shine’ ออริจินัลเกย์ซีรีส์จากค่าย Be on Cloud และ WeTV ที่ทยานคุณภาพของงานอารต์ไปอีกขั้น เพราะนี่ไม่ใช่แค่ซีรีส์เกย์โรแมนติกที่ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของคนสองคน แต่ฉายภาพสังคม อุดมการณ์ และผู้คนใน พ.ศ. 2512 หรือประมาณยุค 1960s ได้หลากหลายและครบรส

Shine นับเป็นซีรีส์ไทยแห่งปีอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การดู เพราะมีการนำเสนอเสน่ห์ระหว่างยุค 1960s-1970s ยุคที่สังคมไทยกำลังเชื่อมโยงกับสังคมโลก ทั้งการโอบรับค่านิยมใหม่ๆ จากฝั่งตะวันตก ที่สำคัญคือยุคที่ประเทศไทยกำลังทำความเข้าใจและก้าวสู่การเป็น ‘ประชาธิปไตย’

Art of จะพาไปสำรวจแง่มุมต่างๆ ที่ซีรีส์ Shine ได้ถ่ายทอดผ่านสัญญะต่างๆ ตั้งแต่สีสันที่จัดจ้าน สถาปัตยกรรม บทเพลง จนไปถึงการแต่งตัวที่บ่งบอกถึงแนวคิดของผู้คนในยุค ‘60s ได้อย่างแยบยล

___

Intro : Pop Art ศิลปะแห่งยุค 60s


เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่อยากกดข้าม Original Soundtrack ของ ซีรีส์ Shine ก็เพราะภาพประกอบเพลงดึงดูดความสนใจให้เราต้องหยุดดู ด้วยสีสันและสไตล์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะสไตล์ Pop Art

Pop Art มีจุดตั้งต้นในยุค 1960s ที่อังกฤษและอเมริกา ก่อนจะแพร่หลายมากขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ผู้คนอยากละทิ้งสงครามและมองหาสีสันใหม่ๆ ให้กับโลก มักถูกใช้ในสื่อโฆษณา หนังสือพิมพ์ หนัง ดนตรีและโทรทัศน์ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้กลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่กระจายไปทั่วโลก งานสไตล์นี้จึงมักใช้สีสันฉูดฉาด ไม่ยึดติดกับระเบียบแบบแผน อาจเอาองค์ประกอบที่ขัดแย้งกันมาอยู่ในรูปเดียวกันจนเกิดเป็นภาพใหม่ หรือการตีความใหม่ๆ

การใช้สไตล์ Pop art ในภาพประกอบ Original Soundtrack ยิ่งเป็นการตอกย้ำธีมเรื่องที่ไม่ใช่แค่การดึงกลิ่นอายของยุค 1960s แต่เป็นการเน้นย้ำว่า Shine กำลังบอกเล่าเรื่องราวของคนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายชนชั้นที่อยากก้าวข้ามโลกเก่า ไปสู่โลกใหม่ในตามอุดมการณ์ของตัวเอง

___

Original Soundtrack : เพลงแห่งยุคสมัยที่ไม่เคยเก่า

เพลง Original Soundtrack อย่าง ‘Shine’ ถูกแต่งโดย เจ-มณฑล จิรา ที่ได้ไอเดีย วิธีการคิดและการทำเพลงมาจากเพลงหนึ่งของ Frank Zappa ศิลปินป็อป-ร็อกชาวอเมริกัน หนึ่งในร็อกเกอร์แห่งยุค 1960s-1970s ที่บทเพลงของเขามีทั้งความขบขันและเสียดสี

นอกจากนี้ยังมีเพลง “Am I in Love” โดย Slot Machine ที่ได้ Ryan Tedder ศิลปินดังระดับโลกมานั่งเป็น Executive Producer ให้กับเพลงนี้ ความคลาสสิกของเพลงทำให้ฟังแล้วก็รู้เลยว่านี่คือเพลงสไตล์ British Pop จนทำให้แอบนึกถึงเพลง “Can’t Take My Eyes Off You” ซึ่งโด่งดังมากในปี ค.ศ. 1967 (ยุค 60s) โดย Frankie Valli

และถ้าคุณชอบ “Can’t Take My Eyes Off You” ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมตัวละคร ‘ธันวา’ ถึงเป็นศิลปินที่โด่งดังมากในยุคนั้น การเปิดตัวด้วยเพลง “Am I in Love” เป็นอีกข้อที่สะท้อนว่าประเทศไทยในยุค 60s เริ่มรับอิทธิพลการฟังเพลงต่างชาติมากขึ้น เป็นยุคแห่งเพลงป็อป-ร็อก เป็นที่นิยมในชนชั้นกลางบางกลุ่มและชนชั้นสูง

___

Architecture & Interior Design : Mid-Century Modern

“ยินดีต้อนรับสู่อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์” สโลแกนติดหูของ Shine ที่เกิดขึ้นในเซ็ตติงนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของบทสนทนาระหว่าง “ธันวา” และ “ตฤน” ในพื้นที่แห่งความเป็นอิสระของชาวฮิปปี้ที่สะท้อนความ ‘นอกขนบ’ ของธันวา

พื้นที่บ้านที่เปิดโล่ง มีพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับธรรมชาติ มีประตูบานใหญ่เพื่อเพิ่มช่องแสงธรรมชาติให้กับตัวบ้าน มีเฟอร์นิเจอร์โค้งมนที่สีสันสดใสตามสไตล์ Mid-Century สะท้อนความอบอุ่น การเป็นพื้นที่แห่งความปลอดภัย พื้นที่แห่งการค้นหาตัวตน และเป็นการแต่งบ้านที่วัยรุ่นชนชั้นกลาง – สูงนิยมกันในยุคนั้นด้วย

สไตล์ Mid-Century Modern เกิดขึ้นในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นสไตล์ที่ได้รับแนวคิดจากความเรียบง่าย เป็นสไตล์ที่ส่งเสริมการ ‘ฟื้นฟูสภาพจิตใจ’ เช่นเดียวกับในซีรีส์ Shine ที่ให้พื้นที่นี้เป็น safe zone ของธันวา และเหล่าคนที่อยากหลีกหนีจากโลกภายนอก ได้มาปล่อยใจ ปล่อยกาย และปล่อยอารมณ์สุนทรีย์ที่นี่

___

Architecture & Interior Style : สถาปัตยกรรมโคโลเนียล (Colonial Style)

ฉากห้องสมุดคีตกาลเป็นอีกสถานที่ที่ถูกคิดมาอย่างดีและสื่อสารถึงการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของ ‘ไกรเลิศ’ (รับบทโดย สน-ยุกต์ ส่งไพศาล) ห้องสมุดส่วนตัวของไกรเลิศใช้อาคารที่มีสไตล์ในยุคโคโลเนียล บานประตูทำจากไม้ เป็นประตูบานสูงที่การเซาะร่องทำลวดลานกรอบสี่เหลี่ยมตามสไตล์ตะวันตก มีวงกบโค้ง (arch) บ่งบอกถึงอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของยุโรปชัดเจน

อาคารประเภทนี้มักใช้เป็นบ้านคหบดีหรือคฤหาสน์สมัยก่อน จึงเป็นพื้นที่ที่ยิ่งตอกย้ำความเป็น ‘ห้องสมุดส่วนตัว’ ของไกรเลิศที่บ่งบอกว่าไกรเลิศเป็นชนชั้นสูงโดยกำเนิด ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงฐานันดรนั้นได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดไม่ได้ พื้นที่ตรงนี้จึงถูกเปลี่ยนเป็นห้องสมุด เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงหนังสือฟรี

นอกจากจะสื่อถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นแรงงานแล้ว ยังเล่าถึงแนวคิด วิธีการมองโลก และวิธีการจัดการกับความเหลื่อมล้ำของสังคมผ่านเลนส์ชนชั้นสูงอย่างไกรเลิศด้วย

___

Architecture & Interior Design : Space Age

ยุค 1960s เป็นยุคที่ผู้คนมีความหวังกับอวกาศ ทำให้สถาปัตยกรรมและแฟชันได้หยิบยืมเอกลักษณ์ของอุปกรณ์ในงานสำรวจอวกาศ มาปรับเป็นงานออกแบบในยุคนั้น

อย่างใน Grand Paradiso ก็ถูกตกแต่งด้วยสไตล์ Space Age รูปทรงในฉากนี้มีทั้งทรงกลมและทรงเหลี่ยม ซึ่งถูกหยิบมาจากลักษณะของจรวดหรือจานบิน มีการใช้วัสดุแวววาวและสะท้อนแสงไฟ เน้นใช้สีเงินและสีขาว รวมถึงวัสดุที่แสดงถึงความเป็น ‘โลหะ’ เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และแสดงถึงการมาถึงของอนาคต

และสไตล์ Space Age ในการแต่งตัวของ ‘มอยร่า’ (รับบทโดย นก-สินจัย) ที่เธอมักใส่เสื้อผ้าแตกต่างจากคนอื่น มีความอลังการ ไม่อยู่ในรูปแบบของเสื้อผ้าทั่วไป รวมถึงสไตล์การแต่งหน้าที่ใช้สีสันตรงกันข้ามกับสีสันหวานๆ ของผู้หญิงยุค ‘60s-’70s มอยร่าจึงเป็นตัวละครที่นำเสนอการมาถึงยุคของ Space Age

___

Costume Design : เรียบหรูดูแพงตามสไตล์ Jackie Kennedy’s style


การแต่งกายของซีรีส์เรื่อง Shine มีความหลากหลายมาก เพราะซีรีส์นำเสนอกลุ่มคนทุกชนชั้น อย่างชนชั้นสูงที่ไม่ได้แต่งตัวตามสไตล์ ‘ทองกวาว’ อย่างหลายคนคิดเอาไว้ เพราะชนชั้นสูงในเรื่องนี้แต่งตัวสไตล์ ‘Jackie Kennedy’ ผู้เป็นไอคอนแห่งวงการแฟชันชั้นสูงในยุคนั้น

สไตล์ Jackie Kennedy เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของการแต่งตัวสไตล์ Classic American Style ที่มักใส่ชุดเดรสเข้ารูป สวมผ้าไหม ผ้าวูล เน้นความเรียบหรูแต่ดูแพง และสวมเครื่องประดับไข่มุก ใช้กระเป๋าหนังแท้ เพื่อแสดงรสนิยมและฐานะ สีสันไม่ได้ฉูดฉาด ลวดลายไม่มากจนเกินไป ตัวละครที่แสดงถึงฐานะชนชั้นสูงได้ชัดเจนคือ ‘เทวี’ และ ‘ดาว’

___

Costume Design : นอกกรอบ สนุกสนานสไตล์ Youthquake

ยุค 60s คือช่วงที่ “Youthquake” เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก เป็นแฟชันที่เหล่าวัยรุ่นเริ่มกำหนดแฟชันด้วยตัวเอง เริ่มมองหาเสื้อผ้าที่เข้าถึงง่ายขึ้น และมองหาเสื้อที่ ready-to-wear และราคาไม่สูง

เนื้อผ้าของแฟชันสไตล์นี้จึงมักใช้ผ้าที่ทำจากโพลีเอสเตอร์ สไตล์ยอดฮิตคือ Mini skirts และ Shift Dress ซึ่งสวมใส่ง่าย แต่บ่งบอกตัวตนของแต่ละคนได้ ผ่านลวดลายของเสื้อผ้าที่มีสีสันจัดจ้าน มีลวดลายกราฟิกที่ชัดเจน ทั้งลายทาง ลายตาราง และลายจุด (Polkadot ที่ตอนนี้กำลังกลับมาฮิตอยู่พอดี)

โดยการแต่งตัวสไตล์ Youthquake ยังสื่อถึงเสรีภาพทางเพศและการต่อต้านค่านิยมเก่าที่มองว่าผู้หญิงต้องเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ทั้งยังสะท้อนตัวตนของชนชั้นกลางรุ่นใหม่ ที่ใช้แฟชันในเป็นการแสดงออกว่า “ฉันมีอิสระ” แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแบบ upper-class ก็ตาม

___

Costume Design : สไตล์ฮิปปี้

การแต่งตัว “ฮิปปี้” คือการปฏิเสธระบบชนชั้นในรูปแบบหนึ่ง ผ่านการสวมเสื้อผ้ามือสอง ใส่เสื้อยืดลาย psychedelic ที่มีสีสันสดใส ลวดลายบนเสื้อผ้ามักไม่อยู่ในแบบฟอร์มเดิมๆ ใส่กางเกงขาม้า สวมเครื่องประดับลูกปัด รวมถึงการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าลวดลายลูกไม้

สไตล์ฮิปปี้เป็นแฟชันที่ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากอินเดีย แฟชันที่ผูกกับความเชื่อทางจิตวิญญาณซึ่งมองว่า การทำสมาธิและการฟังเสียงภายในของตัวเอง คือเส้นทางแห่งความสงบของชีวิต การร้องรำทำเพลงคือการอยู่กับความปิติยินดี

ยิ่งไปกว่านั้น คนกลุ่มนี้ยังมีความ unisex สูงมาก เพราะชาวฮิปปี้คือกลุ่มที่มองผู้คนเชิงจิตวิญญาณมากกว่ากรอบทางเพศ กรอบหน้าที่ หรือกรอบอุดมการณ์ทางการเมืองของสังคม

สไตล์ฮิปปี้จึงไม่ใช่แค่แฟชัน แต่เป็นวัฒนธรรมย่อยที่สะท้อนถึงแนวคิดเรื่องเสรีภาพและความเป็นอิสระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยุค ‘60s-‘70s เลยก็ว่าได้

ตัวละคร “ธันวา” จึงเป็นหนึ่งในตัวแทนของคนที่ต่อต้านกลุ่มอนุรักษ์นิยมในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแสดงออกผ่านวิธีการใช้ชีวิตที่ไม่รับราชการ ไม่ทำงานในสังกัดเอกชน เลือกที่จะเป็นนายตัวเอง รวมถึงปฏิเสธการใช้เสื้อผ้าตามขนบสังคมที่มองว่าผู้ชายต้องใส่สูทด้วย

___

American Dream : วัฒนธรรมทั้งหมดของซีรีส์ กำลังฉายภาพแนวคิด “ความฝันแบบอเมริกัน”

ฉากเดตที่โรงหนังของ ‘ไกรเลิศ’ และ ‘ณรัน’ ทำเอาเราตื่นจากห้วงฝันของซีรีส์ เพื่อทบทวนว่าตัวละครทุกตัวกำลังเดินตามล่า ‘American Dream’ หรือแนวคิดความฝันแบบอเมริกันอยู่

ตั้งแต่ฉากที่ไกรเลิศเงยหน้ามองป้ายไฟของโรงภาพยนตร์ ที่ดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไร แต่กลับแฝงถึงแนวคิดของคนทั่วโลกในยุค 1960s ที่กำลังวิ่งตามโลกเสรีตามนิยามของประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา เพราะหลังจากที่ไกรเลิศและณรันออกจากโรงภาพยนตร์ ทั้งคู่แต่งกายและมีท่าทีราวกับหลุดมาจากหนังฮอลลีวูดอย่างไรอย่างนั้น

การมีอยู่ของโรงภาพยนตร์ในซีรีส์เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องราวโรแมนติก แต่เป็นการบ่งบอกถึงอิทธิพลและการมาถึงของ Soft Power ของ American Dream ผ่านภาพยนตร์ด้วย

ช่วงยุค 1960s คือยุคทองของ “ภาพยนตร์โรงใหญ่” โดยก่อนการมาถึงของทีวี โรงหนังนับเป็น ‘ศูนย์กลางทางสังคม’ ของวัยรุ่นและชนชั้นกลาง เป็นที่นัดพบ เป็นพื้นที่เดต เป็นพื้นที่ชวนฝัน และเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อป โดยเฉพาะฮอลลีวูดซึ่งเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงขนาดใหญ่แห่งเดียวในยุคนั้นที่กลายเป็นแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่

การมีอยู่ของโรงภาพยนตร์และการมาถึงของหนังต่างชาติไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็น เครื่องมือสร้างภาพฝันและตัวตนให้กับคนรุ่นใหม่ด้วย รวมถึงเป็นพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในยุคเปลี่ยนผ่านทางการเมืองโลก และเป็นอีกพื้นที่ที่ได้หลีกหนีจากโลกความเป็นจริงของ ‘ไกรเลิศ’ และ ‘ณรัน’ อีกด้วย

___

การดู Shine The Series นอกจากจะชวนให้คุณได้ซึมซับงานฝีมือที่ตั้งใจทำมาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ยังให้คุณได้ก้าวเข้าไปสู่เรื่องราวของการต่อสู้กับขนบของสังคม ความเชื่อ การเมือง และสัมผัสการเติบโตของแต่ละตัวละครเพื่อไขว่คว้าอิสระในจิตใจ เช่นที่ได้กล่าวไว้ว่า “ยินดีต้อนรับสู่อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์”

#ArtofFilm #Artofth #Shine #ShineTheSeries #WeTV #BeOnCloud

© 2021 Art of. All rights reserved.

  083-138-5607
contact@artofth.com

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save