529Views

ที่มาของ Emoji รูปจิ๋วสื่อความหมาย เล่าความรู้สึก ภาษาใหม่แห่งโลกดิจิทัล
ภาษาถูกพัฒนาร่วมกับวัฒนธรรมของมนุษย์เสมอมาตั้งแต่สัญญาณควันในยุคโบราณไปจนถึงคำพูด และตัวอักษรในยุคต่อมา จนมาถึงในยุคดิจิทัลปัจจุบันก็ย่อมมีภาษาที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนไป
เหล่าข้อความมากมายถูกส่งผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ถูกจำกัดด้วยจำนวนตัวอักษร และการสื่อสารความรู้สึกในเวลานั้นนี่เองที่ทำให้นวัตกรรมทางภาษาแบบใหม่ที่หน้าตาน่ารัก และสีสันสดใสที่มีชื่อว่า Emoji ได้ถือกำเนิดขึ้น !!!
ในวันนี้ Art of จะมาขอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิดของภาษาใหม่แห่งโลกดิจิทัล รูปภาพขนาดจิ๋วที่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกในข้อความที่ขาดหาย สัญลักษณ์แห่งความสนุกสนานและ ความปั่นในสังคมออนไลน์ที่ได้กลายเป็นปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมที่หล่อหลอมการสื่อสารของยุคสมัยใหม่ในที่สุดอย่าง Emoji ผลงานการออกแบบประจำตัวอักษร E ในซีรีส์ Design A – Z กันเลย
กำเนิด Emoji ที่ประเทศญี่ปุ่น

ก่อนที่ Emoji จะเกิดขึ้น เราเคยมี Emoticon ที่เกิดจากการเรียงสัญลักษณ์ที่มีอยู่แล้วให้กลายเป็นภาพอยู่ เช่น 🙂 หรือ 🙁 (ถ้าคุณทัน คุณไม่เด็กแล้วนะ) โดยมาจากทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน Scott Fahlman ในปี 1982 ที่ต้องการให้ข้อความสามารถสื่อสารอารมณ์ได้ด้วย ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของภาษาบนโลกอินเตอร์เน็ตยุคแรกที่มีแค่ตัวอักษร และเป็นบรรพบุรุษของ Emoji ที่เราใช้กันทุกวันนี้
Emoji เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1988 บน PA-8500 เครื่อง Pocket PC จาก Sharp ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นโดยมีรูปมากกว่า 100 รูปซึ่งนี่ถือเป็นอีโมจิชุดแรกหากนับตามกรอบที่ว่ามันเป็นรูปที่สามารถวางต่อจากข้อความที่พิมพ์ได้เลย ซึ่งก็จะเป็นพวกสีหน้า สัญลักษณ์สภาพอากาศ และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับการเดินทางต่างๆ
ส่วนคำว่า Emoji หลายคนอาจเข้าใจผิดว่ามันคือคำภาษาอังกฤษ Emotion ที่แปลว่าอารมณ์แล้วเอามาชนกับคำญี่ปุ่นซักคำหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว ‘Emoji เป็นคำญี่ปุ่นล้วน !?’ โดยเกิดจากการผสมคำ e (ออกเสียงว่า เอะ) ที่แปลว่าภาพ บวกกับ moji (โมจิ) ที่แปลว่าตัวอักษรต่างหาก เพราะอีโมจินั้นใช้สื่อสารแบบอื่นก็ได้ไม่ใช่การแสดงอารมณ์เพียงอย่างเดียว
อีโมจิรูป ‘อึ’ ครั้งแรก ความขี้เล่นที่บังเอิญได้จริงจัง


ก่อนที่ต่อมาในปี 1997 SoftBank หรือ J-Phone ในยุคนั้นจะได้ปล่อย SkyWalker DP-211SW โทรศัพท์มือถือที่มีชุดอีโมจิในตัวเองซึ่งนี่นับเป็นอีโมจิชุดแรกบนมือถือโดยมีทั้งหมด 90 ตัว และหนึ่งในนั้นก็มีสัญลักษณ์ที่ดูงงๆ และไม่เกี่ยวกับอะไรกับอารมณ์ สภาพอากาศ การเดินทางแบบที่ผ่านมาเลยแต่กลับเป็นที่นิยมมากนั่นก็คือเจ้าอีโมจิรูป ‘อึ’ นั่นเอง
การออกแบบอีโมจิของ SoftBank มีอิทธิพลต่ออีโมจิชุดแรกของ Apple อย่างมาก เพราะว่า SoftBank เป็นเจ้าแรกที่นำ iPhone เข้ามาเปิดตัวที่ญี่ปุ่นในปี 2008 และทาง Apple ต้องการที่จะสร้างอีโมจิที่เข้ากันได้กับระบบที่มีอยู่ของ SoftBank
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในอีโมจิชุดแรกของ Apple นั้นถึงได้มีอีโมจิรูปอึรวมอยู่ด้วย ซึ่งใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นที่นิยมมากกว่าภายในประเทศ และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่คนนึกถึงเวลาพูดถึงคำว่าอีโมจิในเวลาต่อมา
หยดเหงื่อในการ์ตูนสู่การสื่ออารมณ์ที่หลากหลาย จุดเริ่มต้นของยุค Emoji


อีโมจิจาก SoftBank ยังไม่ได้แพร่หลายมากนักเนื่องจากถูกจำกัดอยู่ในมือถือเฉพาะรุ่น จนกระทั่งในปี 1999 Shigetaka Kurita ศิลปินชาวญี่ปุ่น หนึ่งในทีมพัฒนา ‘i-mode’ แพลทฟอร์มอินเตอร์เน็ตบนมือถือยุคแรกๆ จาก Docomo ผู้ให้บริการโทรศัพท์รายใหญ่ของญี่ปุ่นจะได้ออกแบบอีโมจิเพื่อใช้บนแพลทฟอร์มขึ้นมาที่ทำให้ไม่ว่าจะใช้มือถือของอะไรก็ตามแต่ถ้าใช้อินเตอร์เน็ตผ่าน i-mode ก็จะสามารถใช้อีโมจิได้เหมือนกัน
ในเวลานั้นระบบพิมพ์เพื่อโพสต์ หรือพูดคุยต่างๆ สามารถรองรับได้แค่คราวละ 250 ตัวอักษรเท่านั้น ทำให้คุริตะต้องการที่จะสร้างสรรค์อินเตอร์เฟซที่สื่อสารได้ ‘ง่าย กระชับ และสวยงาม’ โดยเขาได้แรงบันดาลใจมากจากสัญลักษณ์ภาพที่ใช้ในการพยากรณ์อากาศ และป้ายถนนที่เห็นภาพก็เข้าใจได้ในทันที นอกจากนี้ก็ยังมีจากอักษรภาพของจีน และส่วนสำคัญก็คือ ‘Manpu’ จากมังงะ ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงอารมณ์บนใบหน้าของตัวละคร เช่น หยดน้ำ ที่สื่อถึงความกังวล หรือ สับสน หรือเส้นโค้งขมวดเข้าด้วยกันที่สื่อถึงความโกรธ
คุริตะได้ร่างภาพขนาด 12×12 พิกเซลที่เป็นขนาดของภาพที่แสดงผลได้บนแป้นพิมพ์ของอินเตอร์เฟซ i-mode ทั้งในโทรศัพท์มือถือ และหน้าเว็บของตัวเอง โดยอิโมจิชุดนี้มีอยู่ทั้งหมด 176 ตัว ซึ่งนอกเหนือจากใบหน้าแสดงความรู้สึกแล้วก็มีสัญลักษณ์แบบอื่น เช่น สิ่งของ และ สถานที่ ที่ออกแบบขึ้นเพื่อหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสื่อสารอีกด้วย
ในปัจจุบันชุดอีโมจิของคุริตะถูกจัดแสดงเป็นนิทรรศการถาวรอยู่ที่ MoMA นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะตัวแทนของจุดเริ่มต้นยุคสมัยแห่ง Emoji !!!
Unicode ยกระดับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ก้าวเข้าสู่การเป็นภาษาอย่างเป็นทางการ

อีโมจิได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่น ทั้งจากบริษัทคู่แข่งที่ทำตาม Docomo และการมาของยุคโทรศัพท์มือถือในช่วงปี 2000 ทำให้นอกจากในประเทศญี่ปุ่นแล้วก็ยังมีบริษัทในอเมริกา และยุโรปที่ได้พัฒนาอีโมจิของตัวเองขึ้น ทั้ง Apple, Nokia และ BlackBerry ไปจนถึงวงการคอมพิวเตอร์อย่าง MSN Messenger
จนกระทั่งในปี 2007 ทีมพัฒนาซอฟท์แวร์นานาชาติของ Google ตัดสินใจเป็นผู้นำในการยื่นเรื่องไปถึง Unicode Consortium องค์กรไม่แสวงกำไรที่ทำหน้าที่คล้ายกับสหประชาชาติในการรักษามาตรฐานข้อความในคอมพิวเตอร์ให้บรรจุอีโมจิเพิ่มเข้าไปด้วย เพื่อให้ระบบเซิร์ฟเวอร์ และเครื่องมือที่ร้อยพ่อพันแม่แสดงภาพอีโมจิเดียวกันเวลาพิมพ์ และสื่อสารหากัน
เนื่องจากความนิยมที่มากเกินกว่าจะละเลยได้ทำให้ Unicode ยอมรับข้อเสนอนี้ในปี 2010 ทำให้อีโมจีสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ แล้วนอกจากจะเป็นการยกระดับจากสัญลักษณ์ภาพที่ใช้เฉพาะแห่งให้กลายเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกแล้ว นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการยอมรับอีโมจิในฐานะรูปแบบหนึ่งของภาษาเพื่อการสื่อสารอย่างเป็นทางการอีกด้วย
การปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน

หลังจากได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ Unicode ก็ได้เพิ่มอีโมจิเข้าไปในรายการทุกปี โดยเจ้ารูปเล็กๆ ที่ดูง่ายๆ ที่เราเห็นกันอาจใช้เวลาในการพิจารณาจากแบบร่างแรกไปจนถึงได้รับการอนุมัติยาวนานถึง 2 ปี เพราะว่ามันมีความซับซ้อน และละเอียดอ่อนในการตัดสินใจว่าจะใช้รูปแบบไหนในการอธิบายคำต่างๆ เช่น คำว่า ‘ถั่ว’ รูปที่ใช้ควรจะเป็นถั่วดำ ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรือ ถั่วต้ม แล้วมันควรจะอยู่แยกเป็นเมล็ด อยู่ในกระป๋อง ในชาม หรืองอกมาจากพื้น
ในโลกสมัยใหม่ที่มีความหลากหลาย และเปิดกว้างมากขึ้น คณะกรรมการของ Unicode เริ่มได้รับคำถามเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความเท่าเทียมมากขึ้น เช่น ทำไมพวกรูปอาชีพอย่าง หมอ ตำรวจ เชฟ ถึงได้เป็นผู้ชายทั้งหมด แล้วทำไมเมื่อเป็นคำที่เกี่ยวกับคน รูปคนเหล่านั้นถึงเป็นคนขาวหมดเลย นอกจากนี้ก็ยังมีคำอย่าง ครอบครัว ก็เป็นคู่พ่อ-แม่ ชาย-หญิง ไม่มีที่เป็นคู่เพศเดียวกัน หรือ พ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยว
จนในปี 2015 Unicode ก็ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น โดยเพิ่มการเปิดตัวเลือกสีผิวของอีโมจิประเภทคน รวมไปถึงการเพิ่มประเภทของบุคคลที่ทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น และคอยอัพเดทเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายตั้งแต่นั้น เช่น นักเล่นเซิร์ฟหญิง, คนโพกผ้าฮิญาบ, คนพิการ ไปจนถึงอีโมจิที่เป็นกลางทางเพศ เพื่อแสดงถึงกลุ่มผู้ใช้อีโมจิทุกกลุ่มให้ได้มากที่สุด
เข้าใจบ้าง งงบ้าง ผิดบ้าง เสน่ห์ชวนปวดหัวของ Emoji

ถึงแม้ว่าอีโมจิจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการสื่อสารผ่านอีโมจินั้นสามารถเข้าใจผิดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องข้ามแพลทฟอร์ม เพราะต่อให้จะผ่านการรับรองจาก Unicode แต่รูปมันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว
ตัวอย่างเช่น ในปี 2020 มีนักแสดง และพิธีกรท่านหนึ่งจากอังกฤษได้โพสต์ทวีตจาก iPhone โดยใช้อีโมจิหน้าที่เอามือปิดปากใต้รูปที่คนกำลังจับจ่ายซื้อของในช่วงการระบาดของโควิด 19 ซึ่งใน iOS ตอนนั้นจะเป็นรูปตากลมธรรมดา และปิดปากสนิทเหมือนคนกำลังไอ แต่เมื่อไปปรากฎบนแพลทฟอร์มอื่น อีโมจิรูปนี้กลับเป็นใบหน้าเอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก จนมีหลายคนที่เข้าใจผิดว่าเธอตั้งใจจะล้อเลียนคนเหล่านั้น
นอกจากนี้อีโมจิก็ยังเป็นภาษาภาพที่ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคนอีก ซึ่งในความเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างนี้นั้นมันก็สร้างความสนุกสนาน ความปั่นป่วน เพิ่มมิติทางสังคม และการสนทนาที่มากขึ้นด้วย อย่างเช่นการใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจกันในเฉพาะกลุ่ม หรือ การใช้แทนคำสแลงต่างๆ
อนาคตของ Emoji ภาษายุคใหม่ที่ยังไม่หยุดพัฒนา

อีโมจิค่อยๆ พัฒนาไกลเกินกว่าข้อความเล็กๆ บนหน้าจอมือถือเนื่องจากเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น อีโมจิก็มีรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นมาด้วย เช่น Animoji ที่ใช้กับจับการเคลื่อนไหวใบหน้าไปสวมเข้ากับตัวอีโมจิให้ขยับตาม หรือ Genmoji ที่ให้ผู้ใช้สร้างสรรค์อีโมจิขึ้นมาได้ด้วยตัวเองผ่านเทคโนโลยี AI
ซึ่งจากบทเรียนที่ผ่านมาการออกแบบอีโมจิที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ว่าจะจากเทคโนโลยีอะไร หรือ บนแพลทฟอร์มไหน ต่อจากนี้เราจะค่อยๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้อีโมจิทั้งหมดมีมาตรฐานการออกแบบที่สูงขึ้น ความสอดคล้องกันที่ยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจตรงกันมากที่สุด
เพราะตอนนี้อีโมจิไม่ใช่แค่ไม้ประดับในการส่งข้อความเล่นๆ ในวิธีแปลกๆ หรือเพื่อการตกแต่งข้อความให้สวยงามอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือรูปแบบภาษาแห่งโลกดิจิทัลที่ซับซ้อน และยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนี่อาจเป็นหนึ่งภาษาเกิดใหม่ที่อาจอยู่กับสังคมมนุษย์ไปอีกนานแสนนานก็เป็นได้
บทความโดย
รวีศิลป์ อัศวกิตติประภา
source:
https://www.wired.com/story/guide-emoji
https://en.wikipedia.org/wiki/Emoji
https://emojitimeline.com