‘Ghosts in Art’ เรื่องของผีและปีศาจใน 8 ผลงานศิลปะระดับโลก
ผี ปีศาจ สิ่งลี้ลับ และความชั่วร้าย ถือเป็นองค์ประกอบและเรื่องราวสำคัญที่ปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์ศิลปะของมนุษยชาติมาอย่างยาวนาน
ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่นำเสนอภาพตัวแทนของสิ่งเหนือธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสภาวะแห่งความกลัว ความกังวล และความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้คนในแต่ละยุคสมัย
ศิลปินหลายคนใช้ภาพของอำนาจมืดและความหายนะเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการสำรวจและทำความเข้าใจด้านที่มืดของมนุษย์ สำรวจขอบเขตระหว่างความดีและความชั่ว, ความเป็นเหตุเป็นผลและความบ้าคลั่ง รวมถึงความเปราะบางของมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการ

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ศิลปะได้ปรับวิธีการนำเสนอความน่ากลัวให้สอดคล้องกับปรัชญาของยุคสมัย ตั้งแต่การวาดภาพเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายในอดีต ไปจนถึงการสำรวจความสยองขวัญทางจิตวิญญาณ การเน้นความน่าเกรงขามในลัทธิโรแมนติก หรือการบิดเบือนความเป็นจริงเพื่อเผยบาดแผลทางจิตใต้สำนึกในลัทธิเหนือจริง
ในวันฮาโลวีนปีนี้ Art of ขอชวนไปสำรวจความน่ากลัวและความชั่วร้าย ที่กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในโลกศิลปะ มอบโอกาสให้ศิลปินได้ใช้เทคนิคที่เร้าอารมณ์เพื่อวิพากษ์วิจารณ์สังคมและสภาวะของมนุษย์ ผ่านผีและปีศาจใน 8 ผลงานศิลปะระดับโลก !
Witches’ Sabbath (1797–1798)
โดย Francisco Goya
อีกหนึ่งผลงานสำคัญของ ‘ขบวนการจินตนิยม (Romanticism)’ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ภาพ ‘ชุมนุมแม่มด (Witches’ Sabbath / El Aquelarre)’ ผลงานของศิลปินคนสำคัญที่ทำงานรับใช้ราชสำนักสเปนอย่าง ‘ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya)’ ซึ่งนำเสนอภาพของชุมนุมแม่มดด้วยบรรยากาศที่ดูลึกลับน่ากลัว

ประกอบด้วย ‘แพะดำ (The Great He-Goat)’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของซาตานอยู่กึ่งกลาง สวมมงกถฎใบโอ๊ค ล้อมรอบด้วยกลุ่มแม่มด ทั้งหญิงสาวและหญิงชรา ที่นั่งค้อมตัวเหมือนกำลังสักการะหรือเข้าพิธีบูชา ทารก ซากศพ และโครงกระดูกที่ถูกสังเวยในพิธี ภายใต้แสงของพระจันทร์เสี้ยว ฝูงค้างคาว และภูมิประเทศที่แห้งแล้ง
โกยาโดดเด่นเรื่องฝีแปรงที่แรงและหยาบ ส่งผลให้กับการสร้างความรู้สึกของยามค่ำคืนที่น่าขนลุกในภาพ การตัดกันของแสงและเงาที่เด่นชัดแต่นุ่มนวล ขับเน้นความหลอนของใบหน้าแม่มด สีโทนอึมครึม เช่น ดำ น้ำตาล และเหลืองหม่น เพื่อสร้างความอึดอัด ผนวกกับการจัดองค์ประกอบแบบ วงกลมล้อมศูนย์กลาง ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าสู่พิธีกรรม
ภาพนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ ภาพชุด ‘Black Paintings’ หนึ่งในชุดผลงานที่ทรงพลังที่สุดของโกยา นำเสนอความหลอน ความบ้าคลั่ง และความรุนแรง อันมาจากความรู้สึกของศิลปินที่ผิดหวังในมนุษย์ การเมือง และศาสนาของสเปนในช่วงบั้นปลายชีวิต

ในภาพนี้ก็เช่นกัน โกยาต้องการจะถ่ายทอดเรื่องราวในชนบทของสเปนช่วงปลายศตวรรษที่ 18 อิทธิพลของศาสนจักร และศาลไต่สวนศรัทธา (Inquisition) ซึ่งคอยปราบปรามผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต ผ่านการแทนค่าสัญลักษณ์ที่แฝงในรูปแบบของภาพวาดแนวโรแมนติก โดยใช้บรรยากาศของความงมงาย ความบิดเบี้ยว และความเหนือจริงมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารความคิดทางการเมืองและสังคม
การเสียดสีและวิพากษ์สังคมอย่างกล้าหาญของโกยา ยังส่งอิทธิพลให้กับศิลปินสมัยใหม่ชาวสเปนในยุคถัดมาอย่าง ปาโบล ปิกาโซ (Pablo Picasso) และซัลบาโด ดาลี (Salvador Dalí) ในการสร้างงานที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ความรุนแรง และความจริงทางจิตใจมากกว่าความงามภายนอก
The Nightmare (1781)
โดย Henry Fuseli
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถือเป็นช่วงเวลาที่ปรากฎภาพวาดปีศาจ สิ่งลึกลับ หรือวิญญาณ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกช่วงหนึ่ง เนื่องจากการเกิดขึ้นและเฟื่องฟูของ ‘ขบวนการจินตนิยม (Romanticism)’ ที่ขยายขอบเขตการถ่ายทอดผ่านจินตนาการของศิลปิน มากกว่าเรื่องเล่าของศาสนาหรือวรรณกรรม
ภาพ ‘ฝันร้าย (The Nightmare)’ ของจิตรกรชาวสวิส อย่าง ‘เฮนรี ฟิวเซลี (Henty Fuseli)’ ถือเป็นตัวอย่างคลาสสิก การตีความฝันร้ายออกมาเป็นรูปธรรม ผ่านรูปกายของ ‘ปีศาจ (Incubus)’ นั่งทับบนอกของหญิงสาว และ ‘ม้า (Mare)’ สีขาวในเงามืดด้านหลัง เป็นการเล่นเสียงกับคำว่า ‘Nightmare’ ที่แปลว่าฝันร้าย

ฟิวเซลีนำเสนอภาพของหญิงสาวในชุดขาว เสื้อผ้าโปร่งเผยเรือนร่าง นอนเอนตัวพาดบนเตียง สีหน้าสิ้นสติ สร้างฉากฝันร้ายที่เร้าอารมณ์ ปีศาจนั่งทับบนอกของหญิงสาวจ้องมองออกมาหาผู้ชม ม้าที่มีดวงตาเรืองแสงจากม่านสีแดงด้านหลัง สื่อถึงรูปธรรมของแรงกดดัน หรือแรงจูงใจภายในที่ทำให้เกิดฝันร้าย ไปจนถึง ‘ผีอำ’ หรืออาการ ‘อัมพาตขณะหลับ (Sleep Paralysis)’ ในยุคที่มีการศึกษาเรื่องความฝันและปรากฏการณ์ทางประสาท
รวมถึงการใช้เทคนิคแบบ ‘เคียรอสคูโร (Chiaroscuro)’ คือแสงเงาที่ตัดกันรุนแรง ประกอบกับสีโทนร้อน และพื้นหลังดำมืด สื่อถึงความลึกลับ ความไม่มั่นคง และการถูกคุกคามได้อย่างชัดเจน
ความพิเศษโดดเด่นของภาพคือ ความกล้าหาญในการทิ้งเรื่องเล่าแบบดั้งเดิม แล้วมุ่งเน้นไปที่การนำเสนอโลกภายในของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา ถ่ายทอดความตึงเครียดทางจิตใจที่ถูกเก็บกดผสานกับความงามทางศิลปะ บอกเล่าความน่าเกรงขาม ความกลัว และความชื่นชมต่ออำนาจที่เหนือกว่าเหตุผล ผ่านการจัดองค์ประกอบ เทคนิคการวาดภาพ และการใช้สัญญะ
งานนี้ยังจุดประกายให้ศิลปินยุคต่อมา อย่าง ฟรานซิส โกยา (Francisco Goya) และเออแฌน เดอลาครัวซ์ (Eugene Delacroix) และเป็นแรงบันดาลใจให้วรรณกรรมแนวกอธิค เช่น ‘แฟรงเคนสไตน์ (Frankenstein)’ ของแมรี แชลลีย์ (Mary Shelley) ผู้เป็นภรรยาเพื่อนสนิทของศิลปินอีกด้วย
The Face of War (1940)
โดย Salvador Dalí
อีกหนึ่งแนวทางศิลปะที่สร้างผลงานโดยนำเสนอความบิดเบี้ยว ความชั่วร้าย และความน่าสะพรึงกลัวอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือ ‘แนวทางเหนือจริง (Surrealism)’ ศิลปะที่ทำลายกรอบของความสมจริง โดยไม่ขึ้นกับเหตุผลหรือตรรกะใด ๆ ในโลกกายภาพ เพื่อสร้างความหมาย ต่อต้านสงคราม และค่านิยมของชนชั้น
ภาพ ‘โฉมหน้าแห่งสงคราม (The Face of War)’ ของศิลปินชาวสเปนคนสำคัญอย่าง ‘ซัลบาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí)’ ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่เขาลี้ภัยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา หลังจากหนีภัยจากสงครามโลกครั้งที่สองที่กำลังปะทุขึ้นในยุโรป

ภาพใบหน้าขนาดใหญ่กะโหลกที่เหี่ยวเฉาและไร้ร่างกาย ลอยอยู่กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ดวงตาและปากเต็มไปด้วยกะโหลกขนาดเล็กซ้ำซ้อนอยู่ภายใน และในแต่ละกะโหลกนั้นก็มีกะโหลกซ้ำอีกครั้ง สื่อสารถึงความโดดเดี่ยว ความทุกข์ทรมาน และโศกนาฏกรรมที่ไม่สิ้นสุด
งูที่พันรอบเป็นสัญลักษณ์ของการล่อลวง ทะเลทรายอันว่างเปล่า สื่อถึงความโดดเดี่ยว ความสูญสิ้นชีวิต และความแห้งแล้งของจิตวิญญาณ รอยมือของดาลีเอง ถูกประทับไว้ที่มุมขวาล่างของภาพ เป็นการประกาศว่าเขาเป็นพยานของความน่าสะพรึงกลัว และการที่ศิลปินมีส่วนร่วมในเรื่องราวนี้ด้วยตนเอง
ภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ความรุนแรงอย่าง ‘สงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War)’ ในช่วง ค.ศ. 1936-1939 ที่เพิ่งสิ้นสุดลงไม่นาน และการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง สะท้อนวิสัยทัศน์ทางศิลปะที่เป็นเหมือนลางสังหรณ์เกี่ยวกับสงคราม
ภาพวาดที่ถ่ายทอดผลกระทบต่อผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนและเป็นวัฏจักรแห่งความรุนแรง ผ่านเทคนิคการวาดที่สมจริง แต่ใช้กับวัตถุที่บิดเบี้ยวและเกินจริง ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ทรงพลังที่สุดของดาลี ที่ประสบความสำเร็จในการรวมเอาแนวทางเหนือจริงเข้ากับการวิพากษ์สังคมอย่างลึกซึ้ง
The Ghost of Oyuki (1750)
โดย Maruyama Ōkyo
ในงานศิลปะของโลกตะวันออก มีการนำเสนอภาพของปีศาจและสิ่งชั่วร้ายไม่ต่างจากในโลกตะวันตก อาจมาในรูปแบบของอสูรหรือสัตว์ประหลาด จากเทพปกรณัมหรือวรรณกรรมท้องถิ่น หรือในรูปแบบของ ‘วิญญาณ’ ที่บอกเล่าผ่านประสบการณ์ส่วนตัว
ภาพ ‘ผีสาวโอยูกิ (The Ghost of Oyuki / お雪の幻)’ ถือเป็นตัวอย่างสำคัญ หนึ่งในภาพ ‘ยูเร (Yūrei / 幽霊)’ ที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะญี่ปุ่นยุคเอโดะตอนปลาย ผลงานของ ‘โมรุยามะ โอเคียว (Maruyama Ōkyo / 円山応挙)’ ศิลปินผู้ถ่ายทอดเรื่องราวเหนือธรรมชาติ ความเศร้าสะเทือนใจ และเทคนิคเฉพาะตัวแบบจิตรกรรมญี่ปุ่นได้อย่างงดงามและลึกซึ้ง

ความน่าสนใจคือการถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัวอันแสนเศร้าของศิลปินผ่านงานศิลปะ ความรักที่พลัดพรากของ ‘โอยูกิ’ เกอิชาสาวจากโรงน้ำชาโทมินางะผู้เป็นอนุภรรยาของโอเคียว เธอเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย สร้างความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งให้กับโอเคียว
คืนหนึ่งวิญญาณของเธอได้มาปรากฏตัวให้เขาเห็นในความฝัน โอเคียวไม่อาจลืมภาพนั้นได้ จึงได้วาดภาพนี้ขึ้น ทำให้ภาพนี้เต็มไปด้วยความรัก ความโศกเศร้า และความโหยหา ผ่านสายตาของวิญญาณหญิงสาว
จากเทคนิคของศิลปะญี่ปุ่นที่ไม่ได้เน้นแสงเงาสมจริง แต่สร้างอารมณ์จากเส้นสายและความโปร่งเบาของสี ทำให้ภาพนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของผีผู้หญิงญี่ปุ่น ในลักษณะที่คนญี่ปุ่นในปัจจุบันนึกถึง ได้แก่ ร่างกายที่ลอยอยู่เหนือพื้น ไม่มีเท้า ส่วนล่างของร่างกายที่ค่อย ๆ จางหายไป ชุดกิโมโนสีขาวซีด ซึ่งเป็นชุดที่ใช้ในพิธีศพ และผมสีดำยาวสลวย
รวมถึงเทคนิคของโอเคียวอย่าง การใช้หมึกโปร่งบางเพื่อสร้างมิติโปร่งใส่ สภาวะกึ่งไร้ตัวตน เส้นสายที่นุ่มและเบา และการปล่อยพื้นที่ว่าง สื่อถึงความว่างเปล่าตามแนวคิดเซน และสร้างความรู้สึกเงียบเหงาโดดเดี่ยว ถือเป็นงานศิลปะที่สื่อสารอารมณ์ลึกซึ้งผ่านความเรียบง่ายและเทคนิคเฉพาะตัวได้อย่างน่าจดจำ
The Fall of the Rebel Angels (1562)
โดย Pieter Bruegel the Elder
อีกหนึ่งงานคริสต์ศิลป์ที่มีชื่อเสียงในแง่นำเสนอภาพของปีศาจ โดยเฉพาะช่วงเวลาแห่งการกำเนิดของเหล่าปีศาจ นั่นคือภาพ ‘การล่มสลายของทูตสวรรค์ผู้ก่อกบฏ (The Fall of the Rebel Angels)’ โดย ‘ปีเตอร์ เบรอเกล ผู้พ่อ (Pieter Bruegel the Elder)’ ถูกวาดขึ้นในปี ค.ศ. 1562 ตามเนื้อความในพระคัมภีร์ โดดเด่นในแง่การนำเสนอความปั่นป่วนวุ่นวาย และความหนาแน่นของรายละเอียดในภาพที่ถูกวาดอย่างน่าอัศจรรย์ ถือเป็นงานชิ้นเอกของยุคดัชต์เรอเนสซองส์ (Dutch Renaissance) ที่ผสมผสานคติศาสนา สัญลักษณ์ และจินตนาการไว้ได้อย่างทรงพลัง

ภาพเขียนนี้มีพื้นฐานมาจากคัมภีร์ไบเบิลในบท ‘วิวรณ์ 12:7-9 (Revelation 12:7-9)’ ซึ่งกล่าวถึงสงครามบนสวรรค์ เหล่าปีศาจนำโดย ‘ลูซิเฟอร์ (Lucifer)’ อัครทูตสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองซึ่งก่อกบฏต่อพระเจ้า ทำให้ ‘อัครทูตสวรรค์มีคาเอล (Archangel Michael)’ และเหล่าทูตสวรรค์ต้องขับไล่เหล่ากบฏเหล่านี้ออกจากสวรรค์ลงสู่ห้วงนรก
Bruegel วาดภาพช่วงเวลาที่เหล่ากบฏกำลังถูกเปลี่ยนสภาพจากทูตสวรรค์ให้กลายเป็นปีศาจและอสุรกาย ในขณะที่ร่วงหล่นจากแสงสว่างเบื้องบน เติมเต็มพื้นที่ว่างทั้งหมดของภาพด้วยตัวละครและสัตว์ประหลาดที่กำลังร่วงหล่นและบิดเบี้ยว สร้างความรู้สึกหนาแน่นและวุ่นวายอย่างถึงที่สุด รวมถึงความเคลื่อนไหวและจังหวะที่รวดเร็วภายในภาพ
นอกจากนี้ งานชิ้นนี้ยังแสดงมิติอันโดดเด่นของศิลปะดัชต์ การใช้สี การจัดวางองค์ประกอบอย่างอลหม่าน ความหนาแน่นของรายละเอียด ปีศาจแต่ละตัวถูกสร้างขึ้นอย่างละเอียดประณีต โดยการรวมชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตและวัตถุต่าง ๆ สะท้อน ‘ยุคแห่งการสำรวจ (Age of Exploration)’ ของชาวดัชต์ ผู้คนที่สะสมสิ่งของแปลกใหม่ ทั้งสิ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น แมลง เปลือกหอย สัตว์หายาก และสิ่งประดิษฐ์จากฝีมือมนุษย์ เช่น เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เป็นการนำความรู้และสิ่งแปลกใหม่ของโลกมาล้อเลียนความหยิ่งผยองของมนุษย์ที่พยายามแสวงหาความรู้และความยิ่งใหญ่ ทั้งยังทรงอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปินชาวดัชต์ในรุ่นหลัง
The Abbey in the Oakwood (1809–1810)
โดย Caspar David Friedrich
จิตรกรชาวเยอรมันคนสำคัญในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 อย่าง ‘แคสปาร์ ดาวิด ฟรีดริช (Caspar David Friedrich)’ ก็ได้สร้างผลงานใน ‘แนวทางจินตนิยม (Romanticism)’ ไว้จำนวนมากเช่นกัน
งานของฟรีดิชโดดเด่นด้วยการนำเสนอธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ในแง่มุมต่าง ๆ โดยใช้วิธี ‘สเก็ตช์ภาพจากสถานที่จริง (Plein Air Sketches)’ มาประกอบเป็นภาพวาดในสตูดิโอ แต่หนึ่งในผลงานสำคัญที่แตกต่าง ได้แก่ ‘โบสถ์น้อยในป่าต้นโอ๊ค (The Abbey in the Oakwood)’ นำเสนอภาพของซากโบสถ์กอธิกที่ปรักหักพัง ท่ามกลางหมู่ต้นโอ๊กที่เหี่ยวเฉาและไร้ใบในบรรยากาศฤดูหนาวที่มืดมนหดหู่

ภาพนี้ถูกวาดขึ้นภายใต้บริบทหลังสงครามนโปเลียน บรรยากาศของเยอรมนีเต็มไปด้วยความสูญเสียและความสิ้นหวัง ฟรีดิชศึกษาซากโบสถ์เอลเดนา (Eldena Abbey) ประกอบกับเหตุการณ์ของโบสถ์ในเมืองไกร์ฟสวาล์ด (Greifswald) ซึ่งถูกกองทัพฝรั่งเศสยึดใช้เป็นค่ายทหาร
ประกอบกับออกแบบบรรยากาศท่ามกลางหมอกหนาและแสงสลัวของพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ขบวนบาทหลวงกำลังแบกโลงศพเข้าสู่ประตูโบสถ์ และหลุมฝังศพเพิ่งขุดปรากฏอยู่บนพื้นหิมะ สื่อถึงสัญลักษณ์แห่งความตายอันนิ่งสงัด ปลุกเร้าอารมณ์เศร้าโศก รวมถึงความรู้สึกโดดเดี่ยว ความหม่นหมอง และความครุ่นคิดถึงชีวิตหลังความตายได้อย่างล้ำลึก
ผลงานชิ้นนี้จึงเป็นการนำเสนอ ‘ความงามที่แฝงความเศร้า (Sublime Melancholy)’ และความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติด้วยวิธีเรียบง่าย การจัดวางและสื่อความหมายขององค์ประกอบ สีสัน บรรยากาศ ออกแบบภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมเพื่อสื่อถึงความชั่วคราวของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ภาพวาดที่ไม่ได้วาดทิวทัศน์แบบธรรมดา แต่ใช้มันเป็นสื่อในการสำรวจสภาวะของมนุษย์ และความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ สร้างความรู้สึกความห่างเหิน ความสิ้นหวัง และการสูญเสีย ผ่านบริบทของสงครามได้อย่างแยบยล
The Intrigue (1890)
โดย James Ensor
ท่ามกลางบริบทของโลกตะวันตกในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 กับความเฟื่องฟูของงานศิลปะใน ‘แนวทางอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism)’ ที่แพร่หลาย กลับก่อให้เกิดแนวทางศิลปะที่แปลกใหม่ อย่าง ‘แนวทางสำแดงพลังอารมณ์ (Expressionism)’ ที่ออกแบบบิดเบือนความเป็นจริงเพื่อสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ผ่านงานศิลปะ
ศิลปินผู้บุกเบิกคนสำคัญ ได้แก่ ‘เจมส์ เอนซอร์ (James Ensor)’ จิตรกรชาวเบลเยียม ภาพ ‘งานรื่นเริงแห่งความลวง (The Intrigue)’ ถือเป็นผลงานสำคัญที่แสดงความซับซ้อนทางอารมณ์ การเสียดสี และความพิสดารในการถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของศิลปิน

ภาพนี้เขียนขึ้นเพื่อล้อเลียนการหมั้นของมาริเอ็ตต์ (Mariette) น้องสาวของเอนซอร์ กับคู่หมั้นชาวจีน ซึ่งเป็นพ่อค้าศิลปะจากเบอร์ลิน ซึ่งถูกซุบซิบนินทาในสังคมของเมืองออสเทนด์ (Ostend) ซึ่งเป็นบ้านเกิด เหล่าชาวบ้านที่บดบังใบหน้าด้วย ‘หน้ากาก’ ที่บิดเบี้ยว น่ากลัว และกำลังจ้องมองคู่บ่าวสาวที่อยู่ตรงกลางด้วยท่าทีที่เย้ยหยันและตัดสิน
Ensor เลือกใช้สีสดจัดตัดกันรุนแรง โดยไม่กลัวความขัดแย้งของโทนสี ทีแปรงที่หยาบและรุนแรง ให้ความรู้สึกเกือบเหมือนภาพภาพหลอน พื้นหลังที่แบนและตัวละครที่หนาแน่นแออัด สร้างความรู้สึกอึดอัดและคุกคาม เหมือนผู้ชมถูกดึงเข้าไปอยู่ในฝูงชน
ศิลปินใช้ ‘หน้ากาก’ เป็นสัญลักษณ์ของการโจมตีและเสียดสี สื่อถึงความหน้าซื่อใจคด ความใจแคบ และความป่าเถื่อนที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอกทางสังคม ความจริงของมนุษย์ที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากแห่งความสุภาพ สร้างความรู้สึกที่น่าขนลุกและแปลกแยกที่ทรงพลัง ราวกับเป็น ‘ตลกร้าย (Dark Humour)’ ที่บอกเล่าผ่านงานศิลปะในแนวทางสำแดงพลังอารมณ์ได้อย่างน่าจดจำ
St. Wolfgang and the Devil (1471–1481)
โดย Michael Pacher
งานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับปีศาจและสิ่งชั่วร้าย ปรากฎให้เห็นมากใน ‘ยุคกลาง (Middle Age)’ ของยุโรป ผ่านงานคริสต์ศิลป์อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนในม้วนพระคัมภีร์ หรือประติมากรรมตกแต่งในโบสถ์ บางภาพแสดงลักษณะที่ชวนขบขัน ประหลาดพิสดาร ไปจนถึงน่าเกลียดน่ากลัว
หนึ่งในชิ้นงานสำคัญ ได้แก่ ‘นักบุญวูล์ฟกังและปีศาจ (St. Wolfgang and the Devil)’ ส่วนหนึ่งของ ‘ฉากประดับแท่นบูชานักบุญวูล์ฟกัง (St. Wolfgang Altarpiece)’ ที่โบสถ์ซังต์โวล์ฟกัง (Sankt Wolfgang) ประเทศออสเตรีย เล่าตำนานของนักบุญวูล์ฟกังต้องการสร้างโบสถ์แต่ไม่มีใครช่วยเหลือ เขาจึงได้ทำสัญญากับปีศาจ ตามเงื่อนไขว่าวิญญาณของสิ่งมีชีวิตแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในโบสถ์ที่สร้างเสร็จแล้วจะต้องตกเป็นของปีศาจ

เมื่อโบสถ์สร้างเสร็จ งสิ่งมีชีวิตแรกที่ก้าวเข้ามาคือ ‘หมาป่า (Wolf)’ ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของนักบุญวูล์ฟในภาษาเยอรมัน ปีศาจจึงถูกหลอกด้วยการตีความสัญญาอย่างมีชั้นเชิง ถือเป็นการพ่ายแพ้ของฝ่ายอธรรม และเป็นชัยชนะของศรัทธาและความฉลาดของนักบุญ ตามแนวคิดการเอาชนะความชั่วด้วยศรัทธาและปัญญา
ศิลปินถ่ายทอดรูปลักษณ์ของปีศาจด้วยความน่าเกลียดน่ากลัว กายสีเขียว ผสมลักษณะของสัตว์ มีเขา ปีก และกรงเล็บ ปะทะกับภาพของนักบุญในอาภรณ์สีแดง หมวกทรงสูง และคทา อันเป็นสัญลักษณ์ของบิชอป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่มุ่งมั่นตั้งใจในการต่อกรเหนือปีศาจ ถือเป็นการจัดวางและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างตรงไปตรงมาแต่ทรงพลัง
ฉากประดับแท่นบูชานี้ เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินอย่าง ‘ไมเคิล พาเคอร์ (Michael Pacher)’ ประกอบด้วยภาพเขียนเทมเพอรา (Tempera) และประติมากรรมไม้แกะสลัก แสดงลักษณะของศิลปะช่วงรอยต่อยุคกลางและยุคเรอเนสซองส์ตอนต้น (Early Renaissance) ผ่านการใช้ ‘ทัศนียวิทยา (Perspective)’ แบบตรงไปตรงมาในช่วงแรก การจัดวางโดยใช้มุมมองต่ำ (Low Viewpoint) ที่ให้ความรู้สึกโอ่อ่าและสมจริงเมื่อดูภาพ เพิ่มความเข้มข้นทางอารมณ์ผ่านสายตา ตัวละครและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่วาดอย่างสมจริง
ถือเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าในฐานะตัวแทนยุคสมัย การสะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจทางจริยธรรม ทำให้ภาพนี้เป็นมากกว่างานศิลปะทางศาสนา แต่ยังเป็นภาพสะท้อนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย
